วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิธีกำจัดเพลี้ยแป้ง...แบบง่ายๆ เพื่อใครที่เจอกับปัญหานี้อยู่ ลองดูกันนะครับ

               
              การกำจัดเพลี้ยแป้ง เพราะคนที่ปลูกไม้กระถางหรือผักสวนครัวมักถูกเพลี้ยแป้งเข้ามารบกวนการใช้สารเคมีฆ่าเพลี้ยเท่ากับฆ่าเราด้วย เพลี้ยแป้ง เป็นแมลงที่คอยดูดกินน้ำเลี้ยงตามต้นไม้ ยอดใบอ่อนหรือใต้พุ่มใบ โดยอาศัยมดคอยคาบเพลี้ยไปวางตามยอดไม้ แล้วคอยกินน้ำหวานที่เพลี้ยถ่ายออกมาวิธีการกำจัดคือ


           1. กำจัดที่ต้นตอ คือ มด ออกไปเสียก่อนเพลี้ยแป้งเคลื่อนไหวช้ามาก มดต้องคาบไปวางตามยอดไม้ แล้วคอยกินน้ำหวานที่เพลี้ยถ่ายออกมาเหมือนเราเลี้ยงวัวนม ถ้ากำจัดมด ได้ทำให้เพลี้ยหมดรถเดินทางเคลื่อนย้ายระบาดได้ยาก 
           2. ตัดส่วนที่มีเพลี้ยแป้งออกไปทิ้ง
           3. ใช้น้ำส้มสายชู 1 ฝา ผสมกับน้ำเปล่า 2-3 ลิตร พอให้เจือจาง นำไปผสมกับน้ำยาล้างจานอีกเล็กน้อย แล้วฉีดพ่นที่ตัวเพลี้ย ไม่นานเพลี้ยจะหายไป 
          4. ใช้พริก จะสดจะแห้งก็ได้ เอาเผ็ดๆ สักช้อน-2ช้อนกาแฟน้ำยาล้างจาน แบบที่ไม่มีสารฟอก 1 ช้อนกาแฟ
กระเทียมสด 1 หัวใหญ่หัวหอมสด 1 พอๆ กับกระเทียมปั่น , เติมน้ำให้ปั่นให้ทั่วได้เติมน้ำเกือบเต็มขวดน้ำอัดลม 2 ลิตร เอาของที่ปั่นแล้วเทลงไป หมักทิ้งไว้ 1 คืนกรอง แล้วเอาไปใช้กับสเปรย์ได้เลยระวัง พวกผักใบอ่อน เช่น ผักกาด อาจจะไหม้
          5. วิธีการนี้ได้มาจาก รักบ้านเกิด ดอทคอม
          สูตรที่ 1 : นำเอาเนื้อในผลแก่จัดของน้ำเต้าจำนวน 1 กิโลกรัมคั้นเอาเฉพาะน้ำกรองด้วยตาข่ายเขียวและผ้าขาวบางจากนั้นนำไปผสมกับ น้ำเปล่าจำนวน 5 ลิตร นำไปใช้งานในอัตราส่วน 1 ลิตรผสมกับน้ำเปล่า 200 ลิตรทำการฉีดพ่นเพื่อกำจัดราดำและเพลี้ยในถั่วฝักยาว 
          สูตรที่ 2 : นำน้ำผงซักฟอกที่ใช้ซักผ้า(น้ำแรก)จำนวน 10 ลิตรผสมกับน้ำเปล่า 200 ลิตรนำไปฉีดพ่นในช่วงที่มีอากาศเย็น1-2 ครั้งสามารถกำจัดเพลี้ยแป้งได้
          สูตร ที่ 3 : ใช้น้ำผงซักฟอกจำนวน 100 ซี.ซี.ผสมกับน้ำเปล่า 200 ลิตรแล้วนำไปผสมกับน้ำของน้ำเต้าที่กรองแล้วจำนวน 1 ลิตร สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดศัตรูพืชได้ดี
          6. วิธีจากลุงเบิ้มฟาร์ม สิ่งที่ต้องเตรียม ก็มีแป้งข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวละเอียด 2 ถ้วย + น้ำ 5-10 ลิตร ฉีดพ่นใส่ต้นพืชบริเวณที่ เพลี้ยอ่อน ไร กำลังระบาด ตอนเช้า แสงแดดเริ่มส่อง พอถึงตอนกลางวันขอให้มีแสงแดดจัด เมื่อแดดร้อนขึ้นน้ำในแป้งแห้งเหลือแต่แป้งคลุมตัวเพลี้ยอ่อนและไร ทำให้หายใจไม่ออกและแป้งร้อนขึ้นจนเพลี้ยอ่อนแลไรตาย การใช้แป้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อการสังเคราะห์แสงของพืชนะครับ

          7. สูตรคุณบุญล้อม เฉิดไธสงค์ เกษรตกร บ้านห้วยค้อ ต.หนองแวงนาเป้า อ.พล จ.ขอนแก่น
          ส่วนผสม และวัสดุอุปกรณ์ 
          1.ใบมะละกอสด 5 ก.ก.
          2.ยาฉุน 2 ขีด
          3.น้ำหมัก EM สูตรสมุนไพร 1 ช้อนโต๊ะ
          4.น้ำเปล่า 5 ลิตร
          5.ถุงมือแพทย์
          วิธีการทำ 
          นำเอาใบมะละกอสด มาขยี้คั้นเอาแต่น้ำ ผสมยาฉุนขยี้และกรองเอาแต่น้ำ ผสมน้ำหมัก EM สูตรสมุนไพร 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน 
          วิธีการนำไปใช้ 
          นำ เอาน้ำสกัดหยอดน้ำมันพืชลงไป 1 ช้อนชา นำไปฉีดพ่นทางใบ โดยไม่ต้องผสมน้ำอีก บริเวณเกิดการระบาดของเพลี้ยที่เกิดจากพืชทุกชนิด อาทิ พริก ถั่วฝักยาว มะเขือ แตงกวา เป็นต้น สรรพคุณสามารถกำจัดเพลี้ยแป้ง เพลี้ยดำ แมลงหวี่ แมลงวันทองได้

                           แถมอีกนิด กับ สูตรการกำจัดเพลี้ยและแมลงต่างๆ
                     1. สูตรป้องกันและกำจัดเพลี้ยแป้ง หนอนชอนใบ และแมลงอื่นๆ
          ส่วนประกอบ
          1. เหล้าขาว 2 ขวด
          2. น้ำส้มสายชู 5% 1 ลิตร
          3. สารอีเอ็ม 1 ลิตร
          4. กากน้ำตาล 1 ลิตร
          5. น้ำสะอาด 10 ลิตร
           วิธีทำ
           นำกากน้ำตาลผสมน้ำคนให้เข้ากันใส่เหล้าขาว น้ำส้มสายชู และสารอีเอ็มผสมให้เข้ากัน ปิดฝาภาชนะให้สนิท หมักทิ้งไว้ 10-15 วัน คนส่วนผสมในภาชนะทุกวัน เพื่อไม่ให้เกิดการนอนก้น เปิดฝาระบายก๊าซหลังจากคน เมื่อครบกำหนดแล้วจึงนำไปฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลง และป้องกันโรคพืชบางชนิด เช่น ใบหงิกและใบด่าง
          วิธีใช้
          - ใช้ 1-5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาด 5-10 ลิตร
          - ฉีดพ่นให้ชุ่มและทั่วถึงทั้งนอกและในพุ่ม
          - ใช้กับพืชผักทุก 3 วัน สลับกับพ่นปุ๋ยน้ำ
          - พืชไร่ พืชสวน พ่นทุก 3-7 วัน สลับกับการพ่นปุ๋ยน้ำ
          - ผสมกับกากน้ำตาล หรือนมสด ฯลฯ เพื่อเป็นสารจับใบ

   สูตรป้องกันกำจัดหนอนหลอดหอม หนอนชอนใบ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยในผลไม้ (สูตรเข้มข้น)
          ส่วนประกอบ
          1. เหล้าขาว 2 แก้ว
          2. น้ำส้มสายชู5% 1 แก้ว
          3. สารอีเอ็ม 1 แก้ว
          4. กากน้ำตาล 1 แก้ว
          วิธีทำ
          นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงไปในภาชนะคนให้เข้ากันและปิดฝาให้สนิท หมักทิ้งไว้ 1 วัน แล้วนำไปฉีดพ่น
          วิธีใช้
          ใช้ 5-10 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตร

                                     สูตรไล่หอยหรือเพลี้ยไฟป้องกันใบข้าวไหม้
           ส่วนประกอบ
          1. ยอดยูคาลิปตัส 2 กิโลกรัม
          2. ยอดสะเดา 20 ยอด หรือ 1 ปี๊บ
          3. ข่าแก่ 2 กิโลกรัม
          4. บอระเพ็ด 2 กิโลกรัม
          5. จุลินทรีย์ 1 แก้ว
          6. กากน้ำตาล 1 แก้ว
          วิธีทำ
           นำยอดยูคาลิปตัส ยอดสะเดา ข่าแก่ และบอระเพ็ด แต่ละอย่างแยกกันใส่ปี๊บ ใส่น้ำให้เต็มต้มให้เหลือน้ำอย่างละครึ่งปี๊บทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาเทรวมกันใส่โอ่ง ใส่จุลินทรีย์ลงไป 1 แก้ว กากน้ำตาล 1 แก้ว ปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 3 วัน แล้วกรองเอาแต่น้ำ นำน้ำที่ได้มาใช้
          วิธีใช้
           ใช้ 0.5 แก้ว ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นราดในไร่หรือนาข้าว

                                      อีก 1 สูตรกับสูตรของทางเว็บรักบ้านเกิด
          1.กระเทียม : ใช้ส่วนหัวสดแก่ 1 กก. โขลกละเอียดแช่ในน้ำมันก๊าดหรือแอลกอฮอล์พอท่วม (ประมาณ 1 ลิตร) นาน 24 ชม. หรือแช่ในน้ำร้อนจัด 1 ลิตร นาน 24 ชม. เหมือนกัน ได้หัวเชื้อ อัตราใช้ หัวเชื้อทั้งหมดผสมน้ำ 60 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่มทุก 3-5 วัน ศัตรูพืช ด้วงหมัดผัก ด้วงปีกแข็ง ด้วงงวงกัดใบ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไส้เดือนฝอย แมลงหวี่ขาว เชื้อรา(โรคกลิ่นสับปะรด โรคต้นเน่าผลเน่า โรคผักเน่า โรครากำมะหยี่หรือใบไหม้ โรคราน้ำค้าง โรครากเน่าโคนเน่า โรคเหี่ยว โรคใบจุด โรคใบเน่า) ไวรัสวงแหวนในมะละกอ แบคทีเรียต่างๆ
          2.ขมิ้นชัน : ใช้ส่วนหัวแก่ 1 กก. โขลกละเอียดแช่น้ำ 20 ลิตร นาน 24 ชม. ได้หัวเชื้อ อัตราใช้ หัวเชื้อ 1-2 ลิตร/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่มทุก 3-5 วัน ศัตรูพืช เชื้อรา(โรคผลเน่า โรคใบแห้ง) หนอน(หนอนกระทู้ผัก หนอนคืบกะหล่ำ หนอนแก้ว หนอนใยผัก หนอนเจาะยอด) ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว ด้วงงวงข้าวเปลือก มอดข้าวเปลือก ไรแดง
          3.ยาง มะละกอ : ใช้ส่วนใบแก่สดและเปลือกผลแก่ติดยาง 1 กก. บดป่นแช่น้ำ 20 ลิตร นาน 24 ชม. ได้หัวเชื้อ อัตราใช้ หัวเชื้อ 30-50 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่มทุก 3-5 วัน ศัตรูพืช ราสนิมกาแฟ ราแป้ง เพลี้ยไฟ
          4.น้ำยาฉุนเพื่อฉีดป้องกันและกำจัดแมลง 
           น้ำยางกล้วย + กระทิงแดง 1 ขวด
            1. รองน้ำยางกล้วยจากการตัดปลีกล้วยออก
            2. นำมาผสมในกระทิงแดงจนเต็มขวด
            3. เขย่าขวดแช่ตู้เย็นไว้
             การใช้งาน
            1. ผสมน้ำยางกล้วยผสมกระทิงแดง 1ฝา ต่อ น้ำ 20 ลิตร
            2. ป้องกันมด,แมลงกับเพลี้ยอ่อน

                 ขอบคุณที่มา ของการรวบรวมสูตรต่างๆ โดย : อาจารย์ชาตรี ต่วนศรีแก้ว

                                                       จุลินทรีย์หน่อกล้วย


            1. จุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรหัวเชื้อ

             กล้วยปลูกที่ไหนดินบริเวณกอกล้วย ณ นั้น จะดี เบื้องหลังความร่วนซุยอุ้มน้ำของดินดังกล่าวเกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินรอบๆ รากกล้วย ซึ่งหากขยายเชื้อให้มากแล้ว ย่อมนำไปใช้ปรับปรุงดินในที่อื่นๆให้ดีขึ้นได้นอกจากนั้นหน่อกล้วย มีน้ำยางฝาดหรือสารแทนนินมาก เมื่อหมักแล้วน้ำหมักที่ได้ยังสามารถนำมาใช้ในการควบคุมโรคพืชบางอย่างได้ทั้งสามารถนำไปใช้ปรับปรุงสภาพน้ำที่เน่าเสียให้ฟื้นสภาพกลับดีได้อีกด้วย
          ส่วนผสม
          1. หน่อกล้วยสับบดละเอียด    3    กก.
          2. กากน้ำตาล                     1    กก.
          วิธีทำ   
         ขุดหน่อกล้วยต้นสมบูรณ์ที่ไม่เป็นโรคขนาดหน่อใบธงหรือใบหูกวางสูงไม่เกิน  1 เมตรเอาเหง้าพร้อมรากที่มีดินติดรากขึ้นมาด้วย  1- 2 ช้อนแกงสับหรือบดให้ละเอียดโดยไม่ต้องล้างน้ำแล้วนำมาคลุกเคล้ากับกากน้ำตาลในอัตราส่วนเป็นน้ำหน่อกล้วย  3 ส่วนต่อกากน้ำตาล  1 ส่วนเช่นหน่อกล้วย  3  กิโลใช้กากน้ำตาล  1 กิโล ถ้าหน่อกล้วย 6 กิโล  ใช้กากน้ำตาล 2   กิโลเป็นต้นหมักในภาชนะพลาสติกมีฝาปิดเก็บไว้ในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกจากนั้นคนเช้าเย็นทุกวันจนครบ7 วันแล้วคั้นเอาน้ำออกเก็บไว้ได้นาน 6 เดือน  ในกรณีต้องการใช้มากให้ขยายเชื้อโดยใช้สูตรขยาย

           2. จุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรขยาย          
         ส่วนผสม
          1.  หยวกกล้วยสับบดละเอียด        60  กก.
          2.  กากน้ำตาล                           20  กก.
          3.  น้ำ                                      10 ลิตร
          4.  ลูกแป้งข้าวหมาก                     1  ก้อน
          5.  หัวเชื้อ                                  1 ลิตร
  
           วิธีทำ
           ผสมส่วนต่างๆในถังพลาสติก โดยบี้ลูกแป้งข้าวหมากให้เป็นผงเสียก่อน ต้นกล้วยใช้เฉพาะส่วนของต้นที่ใหญ่หรือตัดเครือแล้ว  สับบดย่อยหรือโขลกให้ละเอียดก่อนใส่ แล้วคนให้เข้ากันปิดฝาเก็บในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก  จากนั้นคนเช้าเย็นจนครบ  7 วัน  จึงคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ซึ่งใช้ได้ดีเช่นเดียวกับ หัวเชื้อจุลินทรีย์หน่อกล้วย  
           ประโยชน์และวิธีใช้
           1.ใช้ปรับปรุงโครงสร้างของดินและกำจัดเชื้อโรคในดินผสมจุลินทรีย์หน่อกล้วยในอัตรา 20 -40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ราดลงบนดินรวมไปพร้อมกับการให้น้ำ
            2. ใช้ป้องกันกำจัดโรคพืช  ผสมจุลินทรีย์หน่อกล้วย 10 ซีซีต่อน้ำ 20  ลิตรฉีดต้นพืชให้เปียกชุ่มโชกทั่วทั้งใบและใต้ใบเพื่อล้างน้ำฝนภายหลังจากที่ฝนหยุดตกนานเกิน 30นาทีเพื่อป้องกันโรคที่มากับน้ำ หรือฉีดพ่นใน20 ซีซี  ต่อน้ำ 20 ลิตรเมื่อพบการระบาดของโรคพืชทั้งเว้นการให้น้ำ  48 ช.ม. เพื่อลดความชื้น
           3. ใช้ปรับปรุงคุณภาพน้ำในร่องสวนสระเก็บน้ำและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำใส่จุลินทรีย์หน่อกล้วย 10  ลิตร ต่อน้ำ  10,000  ลิตร
           4.  ล้างทำความสะอาดคอกสัตว์ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วย  1  ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตร
          5. เร่งการย่อยสลายเศษซากอินทรีย์วัตถุหรือดับกลิ่นขยะของเน่าเสียให้ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตรกรณีหมักฟางข้างในแปลงนาใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย 5 ลิตรต่อพื้นที่นา 1 ไร่
          6. จุลินทรีย์หน่อกล้วยเก็บไว้ใช้ได้นาน 6  เดือน
  หมายเหตุ   กรณีฉีดพ่นหรือราดลงดินโดยไม่ให้ถูกใบพืชสามารถใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย1  ลิตร ต่อน้ำ  200ลิตรเพื่อปรับโครงสร้างของดินแต่การใช้แต่ละครั้งไม่ควรเกิน  5 ลิตรต่อ  1  ไร่



สูตร 1-4-7 ของ ดร.ระวี เสรฐภักดี


          สูตร1-4-7คือสูตรการรักษายอดอ่อนอันทรงประสิทธิภาพคิดค้นขึ้นโดย รศ.ดร.รวี เสรฐภักดี
เกจิไม้ผลชื่อดังของเมืองไทย แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน"หลายครั้งที่มีผู้นำสูตรนี้ไปใช้แล้วไม่ได้ผลแม้จะมีกรรมวิธีการใช้สารเคมีและการฉีดพ่นตามวงรอบที่ถูกต้องแล้วก้อตามแต่ยอดอ่อนก้อยังถูกโรคและแมลงเข้าทำลาย จึงเป็นเหตุให้พาลคิดว่าใช้สูตรนี้ไม่ได้ผลซึ่งแท้จริงแล้วจุดสำคัญที่สุดจะอยู่ที่ การนับวันแรกที่จะเริ่มใช้สูตร1‬-4-7
          ครั้งที่ 1 ของการใช้สูตร 1-4-7 จะเริ่มตั้งแต่ยอดอ่อนผลิออกมาใหม่ประมาณเขี้ยวกระแต‬ยอดอ่อนผลิออกมาใหม่ประมาณเขี้ยวกระแต‬ คือยอดอ่อนแตกได้ ประมาณ 3 - 5 มม. ซึ่งในช่วงระยะเวลานนี้จะมีทั้งโรคและแมลงเข้ามาวางไข่และทำลายยอดอ่อน ให้เริ่มนับเป็นวันที่ 1 โดยฉีดพ่น (จับใบ+       (อิมิดาครอพริด,กำมะถันทอง) )
‪           ครั้งที่2‬ หลังจากฉีดพ่นครั้งที่ 1 ให้เว้นสองวันแล้วเริ่มฉีดพ่นในวันที่ 4 (จับใบ+(อบาเม็กติน,ไซเปอร์เมทริน) )
‪            ครั้งที่3‬ หลังจากฉีดพ่นครั้งที่ 2 ให้เว้นสองวันแล้วเริ่มฉีดพ่นในวันที่ 7 (จับใบ+ฟังกูราน+  (คาร์โบซัลแฟน,โอไมท์) )
‪           ข้อควรระวัง‬ ห้ามพ่นสารเคมีขณะเเดดจัดหรือผสมสารเข้มข้นจนเกินไป การใช้สารเคมีจะสลับปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ไม่ได้ตายตัวว่าต้องใช้ตามนี้ เพียงเท่านี้ยอดอ่อนก็จะผลิออกสวยงาม ไม่มีปัญหาหนอนชอนใบหรือใบบิดม้วนอันเนื่องมาจากเพลี้ยไฟหรือไรแดงแน่นอนคับ






การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ และการทำมะนาวนอกฤดู



          การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ และการทำมะนาวนอกฤดู  ไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องโรคโคนเน่าออกผลหน้าแล้งช่วงมะนาวราคาสูง สำหรับท่านใดที่ต้องการเนื้อหาแบบสรุปๆเน้นๆได้ใจความ เกี่ยวกับขั้นตอนการปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ และต้องการทำมะนาวนอกฤดูด้วยนั้น BangkokToday.net มีบทความสุดยอดเทคนิคการทำมะนาวนอกฤดูมาให้ลองได้ศึกษาเพิ่มเติม แบบเข้มข้น เนื้อๆ ได้ใจความ 
            การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ลงทุนหนักแค่ช่วงแรก สำหรับเกษตรกรที่คิดจะปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 บ่อ จะใช้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เท่านั้น ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมากในช่วงเริ่มแรก ส่วนค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ที่วงบ่อซีเมนต์และฝารองซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่ายกิ่งพันธุ์มะนาว, ระบบน้ำ ฯลฯ รวมเป็นเงินในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 วงบ่อ เป็นเงิน 27,000 บาทโดยประมาณ               
          ต้นมะนาวในวงบ่อเมื่อมีอายุต้นเพียง 8 เดือน จะบังคับให้ต้นออกฤดูแล้งได้โดยใช้หลักการเดียวกับการปลูกลงดินคือคลุมพลาสติกให้กับต้นมะนาวในช่วงเดือนกันยายนและกระตุ้นการออกดอกในเดือนตุลาคม จะได้ผลผลิตมะนาวแก่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มะนาวราคาแพงที่สุด เท่ากับว่าในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้นสามารถเก็บผลผลิตได้ในช่วงฤดูแล้ง
การเตรียมดินปลูกมะนาวและขนาดของวงบ่อซีเมนต์
          ขนาดของวงบ่อซีเมนต์จะใช้ขนาดวงเส้นผ่าศูนย์กลาง 80-100 เซนติเมตร ใช้ฝาวงบ่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างกว่า 10 เซนติเมตร เพื่อป้องกันรากแทงทะลุลงดิน ดินผสมที่จะใช้ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จะใช้วัสดุปลูกหลัก 3 ชนิด คือ                                                                       
1. หน้าดิน 3 ส่วน
2. ขี้วัวเก่า 1 ส่วน
3. เปลือกถั่วเขียว 2 ส่วน (ถ้าไม่มีใช้แกลบดิบแทน)
          ผสมคลุกเคล้ากัน การใช้เปลือกถั่วเขียวจะช่วยให้สภาพดินมีการระบายน้ำที่ดี ถ้าใช้แค่หน้าดินผสมกับขี้วัวจะทำให้ดินปลูกแน่น เวลาให้น้ำไป 3-4 วัน น้ำยังไม่ถึงข้างล่างของวงบ่อ ดินที่จะใช้ในการปลูกมะนาว จำนวน 100 วงบ่อ จะต้องใช้หน้าดินประมาณ 1 คันรถสิบล้อ                                  
          เทคนิคในการผสมวัสดุปลูกจะต้องปูพื้นด้วยหน้าดินเป็นขั้นแรก หลังจากนั้น ใส่ขี้วัวเก่าเป็นชั้นที่ 2 แล้วตามด้วยเปลือกถั่วเขียวเป็นชั้นบนสุด หลังจากนั้นใช้เครื่องตีพรวนติดรถไถจะเร็วกว่าใช้แรงงานคน
เทคนิคการใส่วัสดุปลูกลงบ่อซีเมนต์
           ที่ผ่านมาเกษตรกรที่ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ส่วนใหญ่จะใส่วัสดุปลูกในวงบ่อซีเมนต์เพียงเสมอวงบ่อเท่านั้น เมื่อรดน้ำไปได้เพียงแค่สัปดาห์เดียว วัสดุปลูกจะยุบตัวลงมาประมาณ 1 คืบมือ ถ้าเกษตรกรเติมวัสดุปลูกลงไปจะไปกลบลำต้นมะนาว ปัญหาเรื่องโรคโคนเน่าจะตามมา ดังนั้น ในการใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อซีเมนต์จะต้องใส่ให้พูนเป็นภูเขาเลย และที่จะต้องเน้นเป็นพิเศษขณะที่ใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อนั้นคือ จะต้องขึ้นเหยียบวัสดุปลูกขอบๆ วงบ่อ บริเวณตรงกลางไม่ต้องเหยียบ การใส่วัสดุปลูกให้เป็นภูเขาจะช่วยในเรื่องดินยุบลงมาเสมอวงบ่อได้นานถึง 1 ปี
วิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ที่ถูกต้อง
          หลังจากที่ใส่วัสดุปลูกลงในบ่อซีเมนต์เรียบร้อยแล้ว ให้เกษตรกรขุดเปิดปากหลุมให้มีขนาดเท่ากับขนาดของถุงที่ใช้ชำต้นมะนาว (โดยปกติถ้าใช้กิ่งตอนมะนาว ควรจะชำต้นมะนาวไว้นานประมาณ 1 เดือน เท่านั้น ไม่แนะนำให้ซื้อต้นมะนาวที่ชำมานานแล้วหลายเดือน หรือชำค้างปี เนื่องจากจะพบปัญหาเรื่องรากขด ทำให้เจริญเติบโตช้าหรือต้นแคระแกร็น) รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 อัตราประมาณ 1 กำมือ ถอดถุงดำปลูกต้นมะนาวให้พอดีกับระดับดินเดิม กลบดินแล้วใช้เท้าเหยียบรอบๆ ต้น เพื่อไม่ให้โยกคลอน ปักไม้เป็นหลักกันลมโยกและใช้เชือกฟางมัดต้นมะนาวไว้กับหลัก หลังจากปลูกเสร็จให้เดินท่อ PE เจาะหัวมินิสปริงเกลอร์และวางท่อ PE พาดไปกับวงบ่อเลยเพื่อสะดวกต่อการทำงาน
ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ได้ตลอดทั้งปี
          ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ปลูกไปแล้วนับไปอีก 8 เดือน เกษตรกรสามารถบังคับให้ต้นออกดอกได้ ถ้าเกษตรกรจะบังคับให้มะนาวออกฤดูแล้งในรุ่นแรกแนะนำให้ปลูกต้นมะนาวในช่วงเดือนมกราคม ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ในปีเดียวกันบังคับต้นให้ออกดอกได้โดยใช้หลักการเหมือนกับที่ปลูกลงดิน ผลผลิตมะนาวฤดูแล้งจะไปแก่และเก็บผลผลิตขายได้ราคาแพงในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของปีถัดไป เท่ากับว่าการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ใช้เวลาปลูกเพียงปีเศษเท่านั้น เกษตรกรสามารถเก็บมะนาวฤดูแล้งขายได้
วิธีการรดน้ำต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ ทำอย่างไร
           ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ให้ใช้พลาสติคคลุมปากบ่อซีเมนต์เพื่อป้องกันน้ำหรือฝนที่ตกลงมาในช่วงแรกๆ แต่พบปัญหาว่าเมื่อเกษตรกรนำพลาสติคไปคลุมกลับรักษาความชื้นให้กับต้นมะนาวใช้เวลานานวันกว่าดินจะแห้ง หรือเลือกใช้หลักการ “ฝนทิ้งช่วง” ในแต่ละปีช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ของทุกปี จะมีช่วงเวลาที่ฝนทิ้งช่วง ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ถ้าฝนไม่ตกติดต่อกัน 3-4 วัน ดินในวงบ่อจะเริ่มแห้ง ใบมะนาวจะเริ่มเหี่ยว หลังจากนั้นฉีดกระตุ้นให้ต้นมะนาวออกดอกและติดผลได้
ผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ 2 รุ่น ต่อปี
           ในช่วงเริ่มแรกของการบังคับมะนาวฤดูแล้งจะทำให้ต้นมะนาวออกดอกเพียงรุ่นเดียวคือ ช่วงเดือนตุลาคมและไปเก็บผลผลิตในช่วงเดือนเมษายนเท่านั้น ทำให้จะต้องคอยปลิดดอกมะนาวทิ้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเรื่อยมาจนถึงเดือนสิงหาคม-กันยายน แต่ช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาสภาวะตลาดมะนาวผลผลิตจะเริ่มมีราคาดีตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยไปจนถึงเดือนเมษายน จึงปล่อยให้มะนาวให้ผลผลิต 2 รุ่น คือมีผลผลิตขายในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์รุ่นหนึ่ง (บังคับให้ต้นออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) และมีผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนอีกรุ่นหนึ่ง (บังคับให้ออกดอกในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม) พอเข้าสู่เดือนพฤษภาคมของทุกปีราคามะนาวจะถูกลง จะตัดแต่งกิ่งมะนาวในช่วงเวลานี้ พร้อมทั้งปลิดผลมะนาวที่ติดอยู่บนต้นทิ้งให้หมด
ตัดแต่งกิ่งมะนาวในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี
          ตัดแต่งกิ่งมะนาวในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี โดยจะเริ่มตัดแต่งกิ่งและปลิดผลทิ้งทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม ในช่วงปีที่ 1-2 จะตัดแต่งบ้างแต่ไม่มากนัก จะมาตัดแต่งหนักเมื่อต้นมีอายุประมาณ 3 ปี ซึ่งในช่วงนั้นมักจะพบว่าต้นมะนาวเริ่มโทรม มีกิ่งแห้งเป็นจำนวนมาก การตัดแต่งกิ่งมีผลทำให้ต้นมะนาวแตกกิ่งออกมาใหม่และได้ผลผลิตมะนาวที่มีคุณภาพ หลังจากตัดแต่งกิ่งเสร็จในเดือนพฤษภาคม ช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เป็นช่วงบำรุงต้นและสะสมอาหารเพื่อจะกระตุ้นการออกดอกรุ่นแรกในเดือนสิงหาคม
เทคนิคการเปิดตาดอก
           เมื่อใบมะนาวเหี่ยวและเริ่มร่วงหรือเหลือใบยอดเพียง 1 คืบ จะเปิดตาดอกโดยใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่มีตัวกลางสูง เช่น สูตร 15-30-15 หรือ 8-24-24 อัตรา 1 กำมือ ใส่ให้กับต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ รดน้ำจนเห็นว่าปุ๋ยละลายจนหมด (ช่วงการให้ปุ๋ยนี้ไม่แนะนำให้เปิดน้ำด้วยหัวสปริงเกลอร์ ควรจะให้น้ำด้วยสายยางจะดีกว่า) และยังได้แนะนำว่าควรฉีดพ่นด้วยปุ๋ยทางใบ สูตร 0-52-34 อัตรา 100 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ (20 ลิตร) ฉีดพ่นต่อเนื่องทุก 5-7 วัน หลังจากนั้นต้นมะนาวจะเริ่มออกดอกและติดผลไปแก่ในช่วงฤดูแล้ง
การทำมะนาวนอกฤดู
การบังคับมะนาวนอกฤดูในวงบ่อซีเมนต์
          1. การให้น้ำระบบมินิสปริงเกอร์ ให้น้ำเช้า – เย็น
          2. มะนาวจะราคาแพงที่สุดคือช่วงเดือน มีนาคม – เมษายน ของทุกปี ดังนั้นเมื่อเก็บผลผลิตหมดในเดือน พฤษภาคม ให้รีบดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
          ตัดแต่งกิ่ง เด็ดผลที่เหลือบนต้นออก เพื่อบำรุงต้น เร่งการสร้างยอดใหม่ ใบใหม่โดย ผลมะนาวที่คุณภาพดีที่สุดคือผลที่เกิดจากยอดใหม่ ผลที่เกิดจากกิ่งเก่าคุณภาพจะด้อยลงมา ผลที่คุณภาพต่ำสุดคือผลที่เกิดติดกิ่ง หลังตัดแต่งกิ่งเสร็จใช้ปุ๋ยเคมี 15 – 15 – 15 ใส่หนึ่งกำมือต่อวง หากไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ต้นจะไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าที่ควร และพบอาการผลเหลืองที่ไม่ได้เกิดจากอาการม้านแดดมากกว่าปกติ เนื่องจากการให้ผลผลิตในปีที่ผ่านมา ต้นมะนาวใช้ธาตุอาหารในการเลี้ยงลูกในปริมาณที่มาก เพิ่มวัสดุปลูกในวงบ่อเนื่องจากในแต่ละปีวัสดุปลูกจะยุบลง เพิ่มกาบมะพร้าวบริเวณโคนต้น เนื่องจากาบ มะพร้าวผุพังไปบ้างในปีที่ผ่านมา กาบมะพร้าวเป็นวัสดุที่ช่วยเก็บรักษาความชื้นได้อย่างดี และยังเป็นวัสดุที่ช่วยเก็บรักษาปุ๋ยที่จ่ายมาทางระบบน้ำก่อนจะค่อย ๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารให้ต้นมะนาวใช้ ป้องกันการสูญเสียธาตุอาหารอันเกิดจากการไหลบ่า หรือการระเหย
          การให้ปุ๋ยชีวภาพซึ่งได้จากการหมักหอยเชอรี่30 กก. เศษผลไม้ 10 กก. กากน้ำตาล 10 กก. เชื้อพด. 2 จำนวน 25 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร สูตรนี้สามารถใช้ฉีดพ่นทางใบ ในอัตรา 20 – 25 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรได้ ในส่วนของการให้ทางระบบน้ำนั้น เทคนิคคือใช้ปุ๋ยชีวภาพในอัตรา 5 ลิตร ต่อน้ำ 1,250 ลิตร ให้ทุก 5 – 7 วัน โดยในการให้จะให้ครั้งละ 3 – 5 นาทีเพื่อให้กาบมะพร้าวบริเวณโคนต้นชุ่มก็พอ หลังจากนั้นก็ให้น้ำตาม รอบปกติ น้ำจะ ค่อย ๆ ละลายธาตุอาหารลงไปให้ต้นมะนาวใช้ เป็นการจัดการที่ประหยัดปุ๋ย ใช้ปุ๋ยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
          ในระยะนี้ต้องรักษาใบและยอดให้ดี เนื่องจากมีโรค แมลงที่สำคัญเข้าทำลายในระยะยอดอ่อนถึงเพสลาดคือ เพลี้ยไฟ และโรคแคงเกอร์ ในเรื่องสารเคมีให้แนวคิดว่าบางระยะยังต้องมีการใช้อยู่ แต่ต้องเลือกใช้ในระยะที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค คือใช้ในระยะก่อนเก็บเกี่ยวไม่น้อยกว่า 2 เดือน
           หลักการใช้สารเคมีในแปลงมะนาว นอกจากเพลี้ยไฟ โรคแคงเกอร์แล้วยังมีโรคและศัตรูอื่น ๆ อีก เช่น หนอนชอนใบ หนอนกัดกินใบ แมลงค่อม โรคยางไหล โรคราเข้าขั้ว การเลือกใช้ชนิดของสารเคมีและระยะที่ใช้จึงมีความจำเป็น หากอยู่ในระยะที่ใช้สารเคมีได้ เพลี้ยไฟ และหนอนชอนใบมีสารเคมีที่เลือกใช้ในการป้องกันกำจัดคือ อะบาแม็กติน อัตรา 3 – 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ( ทั้งนี้อัตราการใช้แล้วแต่ความเข้มข้นของแต่ละบริษัทที่ผลิต ) หากพบการระบาดมากจะใช้สาร อิมิดาคลอพริด อัตรา  3 – 5 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร แมลงค่อมหรือด้วงปีกแข็งใช้สารคาร์โบซัลแฟน อัตรา 20 – 30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไซเปอร์เมทริน อัตรา 5 – 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร โรคราเข้าขั้วใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อราแมนโคเซ็บ อัตรา 20 – 30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคาร์เบ็นดาซิม อัตรา 10 – 20 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ความถี่ในการฉีดพ่น ทุก 7 – 15 วัน หรือแล้วแต่สภาพการระบาดของโรคแมลง นอกเหนือจากระยะนี้แล้ว 2 เดือนก่อนเก็บเกี่ยว ควรเลือกใช้น้ำหมักชีวภาพที่มีฤทธิ์ไล่ และกำจัดแมลง โดยใช้น้ำหมักที่หมักจากสมุนไพรที่ มีรสเผ็ด ขม เหม็น เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด บอระเพ็ด สะเดา ใช้สมุนไพรดังกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่ง 30 กก. กากน้ำตาล 10 กก. พด. 7 จำนวน 25 กรัม ต่อน้ำ 30 ลิตร หมัก 20 วัน นำมาฉีดพ่นในอัตรา 25 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรทุก 7 – 15 วัน
          เนื่องจากมะนาว มีอายุ ประมาณ 5 เดือนสามารถเก็บขายได้ในเดือนที่ 6 การวางแผนการบังคับให้ออกนอกฤดู คือต้องทำให้ออกดอก เดือนตุลาคม เดือนกันยายนต้องงดปุ๋ย งดน้ำ จากประสบการณ์จะเลือกใช้จังหวะฝนทิ้งช่วงประมาณ 7 – 15 วัน เป็นการงดน้ำไปในตัว เนื่องจากมะนาวแปลงนี้ 600 วง การจัดการเพียงคนเดียวจึงไม่สะดวกที่จะเลือกใช้พลาสติกคลุม เพราะพลาสติกก่อให้เกิดไอน้ำเกาะบริเวณผิวด้านในพลาสติก ลดความชื้นในดินยาก หากจะให้ได้ผลดี ในวันที่แดดออกต้องแกะพลาสติกออกให้น้ำระเหย หากฝนตกต้องคลุมพลาสติก เป็นการจัดการที่ยากในกรณีที่ไม่มีแรงงานเพียงพอ
           งดน้ำจนใบเหี่ยว สลด และหลุดร่วงประมาณ 50 – 60 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นให้น้ำตามปกติ ปุ๋ยเคมีที่ใช้เพื่อเปิดตาดอกในระยะนี้คือ ปุ๋ยที่มีตัวกลางสูงเช่น 12–24–12 หรือ 15 – 30 -15 ปริมาณ 1 กำมือต่อวงรดน้ำให้ชุ่มเพื่อให้ปุ๋ยละลาย หลังติดดอกแล้วให้น้ำตามปกติเช้า – เย็น เวลาละ  5-10 นาที  ปุ๋ยทางดินที่คุณพิชัยใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ตลอดฤดูการผลิตคือปุ๋ยอินทรีย์ที่หมักจากเศษพืช มูลสัตว์ กากหอยเชอรี่ เป็นการลดต้นทุนการผลิต ลดภาวะดินเสื่อมโทรม ปรับสภาพดินให้สมบูรณ์ อย่างยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก www.manowsi.com (สวนมะนาวเมืองศรี :สนใจพันธุ์มะนาวสั่งที่นี่เลยครับ),ภาพประกอบจาก greentoplant.blogspot.com

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การตัดแต่งสำหรับมะนาวนอกฤดู อีโมติคอน kiki
           การตัดแต่ง (Pruning) เป็นการดำเนินการควบคู่ไปกับการจัดทรงพุ่ม (Training) ซึ่งเป็นองค์ประกอบ 2 ประการของการจัดการทรงพุ่ม (Canopy Management) ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการควบคู่กันไปตั้งแมะนาวอายุยังน้อยเพื่อให้ต้นมะนาวมีโครงสร้างทรงพุ่มที่เหมาะสมต่อการให้ผลผลิต 
           การตัดแต่งเป็นการปฏิบัติที่มีเป้าหมายหลักเพื่อควบคุมการเจริญเติบโต (to direct or control growth) และเพื่อกระตุ้นการติดดอกออกผล (to encourage flower and fruit production) ของต้นมะนาวเพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตที่ดีทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณในโอกาสต่อไป ในทางกลับกัน ต้นมะนาวที่ไม่ได้รับการตัดแต่งจะสูญเสียโอกาสในการติดดอกออกผลไปอย่างน่าเสียดาย 
โดยทั่วไปการตัดแต่งต้นมะนาวเพื่อทำมะนาวนอกฤดูจะมีการปฏิบัติใน 2 ลักษณะ ประกอบด้วย
           1. Thinning



                Thinning เป็นการตัดแต่งประจำปีหลังจากการเก็บเกี่ยว มีเป้าหมายเพื่อให้ทรงพุ่มโปร่งหรือพุ่มใบบางลง (to thin dense growth) แสงแดดสามารถส่องถึงพื้นที่ด้านในและด้านบนทรงพุ่มเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายแสง (Light Distribution) และการถ่ายเทอากาศภายในทรงพุ่ม (Aeration) ซึ่งจะส่งผลให้มี ‪#‎การสังเคราะห์แสง‬(photosynthesis)ได้อย่างสูงสุด รวมทั้งลดพื้นที่ในการเป็นแหล่งหลบซ่อนอาศัยของเชื้อโรคและแมลงศัตรูพืช โดยการตัดแต่งกิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น กิ่งกระโดงหรือกิ่งน้ำค้าง กิ่งไขว้ กิ่งมุมแคบ กิ่งที่อยู่ชิดกัน กิ่งที่ทำมุมมากเกินไปหรือชี้ลงดินซึ่งเป็นลักษณะกิ่งอ่อนแอ กิ่งหางหนู กิ่งแห้ง กิ่งเป็นโรค ฯลฯ โดยเฉพาะกิ่งภายในทรงพุ่มด้านในสุดและแตกออกจากลำต้นซึ่งมีลักษณะเป็นผู้รับ (Sink) เป็นส่วนที่ใบไม่ถูกใช้สร้างสังเคราะห์แสงสร้างอาหารเนื่องจากได้รับแสงน้อยหรือไม่ได้รับแสงเลยเพราะมีการบังกันของใบ (Shading of Leaves) ภายในทรงพุ่ม การกำจัดกิ่งและใบในส่วนนี้ออกไปนอกจากจะทำให้มีการแก่งแย่งอาหารภายในต้นลดน้อยลงแล้ว ยังช่วยให้ต้นมะนาวสามารถใช้ประโยชน์จากการสังเคราะห์แสงสร้างอาหารได้อย่างเต็มที่และยังป้องกันไม่ให้มะนาวพักต้นหรือออกผลปีเว้นปี (Alternate Bearing) 
นอกจากนั้น การลดปริมาณกิ่งและการกระจายกิ่งของทรงพุ่มทั่วทั้งต้นจะช่วยลดการแก่งแย่งอาหารกันเอง กิ่งที่คงไว้จึงอยู่ในสภาพสมบูรณ์และแข็งแรงสามารถรองรับน้ำหนักผลผลิตได้อย่างสมดุล ลดค่าใช้จ่ายและแรงงานในการทำคอกหรือไม้ค้ำลงได้เป็นจำนวนมาก ดังภาพตัวอย่างทรงพุ่มแบบกึ่งเปิดกึ่งปิดแกนกลาง (Modified central leader type) โดยการเปิดพื้นที่ทรงพุ่มด้านบนให้โปร่งโล่ง หรือเรียกว่า "เปิดกะโหลก" เป็นรูปแบบทรงพุ่มที่เหมาะสมกับมะนาวเป็นอย่างยิ่งแม้ว่าการตัดแต่งประจำปีจะไม่มีกำหนดตายตัว แต่ก็มีคำแนะนำคร่าวๆว่า จำนวนกิ่งที่ตัดแต่งออกไปไม่ควรเกิน 15% ของจำนวนกิ่งทั้งหมดในทรงพุ่ม อย่างไรก็ตาม ปริมาณการตัดแต่งควรพิจารณาจากสภาพโดยรวมของทรงพุ่มให้มีจำนวนกิ่งและใบมากเพียงพอที่จะใช้ในการสังเคราะห์แสงสร้างอาหารด้วย
             2. Pinching



                  การเล็มยอดหรือตัดปลายยอด (Pinching) เป็นรูปแบบการตัดแต่งที่เราใช้ในการเริ่มต้นกระบวนการทำนอกฤดู โดยการตัดหรือเล็มยอดออกไปประมาณ 1-2 ข้อกิ่ง หรือไม่เกิน 15 ซม.วัดจากปลายกิ่งเพื่อกระตุ้นให้เกิดการแตกยอดใหม่ วัตถุประสงค์ในการเล็มยอดคือ เพื่อให้มีพื้นที่ชั้นนอกสุดที่ได้รับแสงตลอดทั้งวันซึ่งจะนำไปสู่ประสิทธิภาพใน ‪#‎การสังเคราะห์แสงสูงที่สุด‬ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อปริมาณและคุณภาพของผลผลิต นอกจากนั้นการเล็มยอดให้มะนาวแตกยอดใหม่พร้อมๆกันจะช่วยให้เราทราบอายุยอดที่จำเป็นต้องคงไว้ให้มีเพียงชุดเดียวไปจนกระทั่งกลายเป็นใบที่มีอายุไม่น้อยกว่า 90 วัน เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่เอื้อต่อการฟอร์มตาดอก ตลอดจนเพื่อให้ยอดแตกออกมาพร้อมๆกันเพื่อความสะดวกในการดูแลรักษาทั้งการจัดการธาตุอาหารและน้ำ รวมทั้งการป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูพืช นอกจากนั้นการเล็มยอดจะทำให้ได้กิ่งใหม่ที่มีความเยาว์วัย (Juvenile ) ที่เอื้อต่อการออกดอกมากกว่ากิ่งที่มีอายุมากอีกด้วย
                  การตัดยอดหรือเล็มยอดจะทำให้เราได้ยอดใหม่เพิ่มขึ้นในแต่ละรอบการตัดแต่งกิ่งละประมาณ 3-4 ยอด ซึ่งจะมีจำนวนมากพอให้เราเลือกได้ว่า ยอดไหนสมควรจะคงไว้หรือตัดแต่งออกไป สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเล็มยอดยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ติดดอกออกผลซึ่งจะเป็นตัวกำหนดปริมาณผลผลิตในอนาคตซึ่งจะมีส่วนช่วยในการวางแผนการจัดการช่วงระยะให้ผลผลิตและเก็บเกี่ยว นอกจากนั้น การเล็มยอดยังทำให้เกิดการกระจายกิ่งแขนงออกไปทำให้ผลผลิตกระจายสม่ำเสมอทั่วทั้งต้นไม่แออัดอยู่ในกิ่งหรือทรงพุ่มด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้ผลมีขนาดมีคุณภาพไล่เลี่ยกันทั้งต้น เพิ่มความสะดวกในการเก็บเกี่ยวและคัดแยกขนาดเพื่อส่งจำหน่ายมากยิ่งขึ้น แม้ว่า การคำนวณระยะความยาวกิ่งที่เหมาะสมในการตัดแต่งออกไปไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนตายตัว เนื่องจากขึ้นอยู่กับการจัโครงสร้างหรือจัดทรงพุ่ม (Training) และการตัดแต่งตามที่ได้วางแผนมาตั้งแต่แรกปลูก แต่หลักโดยทั่วไปของการตัดแต่งประจำปีไม่ควรตักแต่งเกิน 1 ใน 3 ของความยาววัดจากปลายกิ่ง หากตัดแต่งลึกมากกว่านี้หรือที่มักเรียกว่า การทำสาว (Rejuvenate pruning) จะก่อให้เกิดกิ่งกระโดงและกิ่งน้ำค้างซึ่งจะทำให้ต้นมะนาวสูญเสียโอกาสในการออกดอกไป หรืออาจจะยึดหลักง่ายๆว่า ปีที่ผ่านมาทรงพุ่มมีขนาดเพิ่มขึ้นเท่าใด ก็จะตัดแต่งออกไปเท่านั้นในปีนี้ เป็นต้น 
พึงระลึกว่า 
             1. การจัดการทรงพุ่มมีเป้าหมายหลักเพื่อให้ใบทุกใบมีขีดความสามารถในการสังเคราะห์แสงได้มากที่สุด
             2.มะนาวมีนิสัยออกดอกที่ปลายยอด และ 
             3.ดอกที่เกิดจากปลายยอดที่ผลิใหม่เป็นดอกมะนาวที่มีคุณภาพมากที่สุด

                                                                          ขอขอบคุณภาพประกอบกระทู้จาก สวนมะนาว ชัตติพงษ์