วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
เทคนิคการผลิตมะนาวนอกฤดู
สำหรับการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์นั้นวัตถุประสงค์ เพื่อควบคุมให้ต้นมะนาวออกผลแก่และเก็บเกี่ยวได้ในช่วงฤดูแล้ง หรือนอกฤดู คือช่วงเดือน มีนาคม ถึงเดือน เมษายน ซึ่งมะนาวจะมีราคาแพงมาก สำหรับการปฏิบัติในช่วงเดือนต่างๆ เพื่อผลิตมะนาวนอกฤดูมี ดังนี้
1. เดือนพฤษภาคม ถึงเดือน กรกฏาคม ช่วงนี้เรียกว่าช่วงบำรุงต้น เป็นการสะสมอาหารของมะนาว ให้ทำการตัดแต่งกิ่งรวมถึงให้ปลิดดอกและลูกมะนาวออกจากต้นให้หมด และจำไว้เสมอว่ามะนาวจะไม่มีการออกลูกหรือดอกโดยเด็ดาด ให้ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรวมถึงใส่ปุ๋ยเคมี สูตรตัวหน้าที่มีธาตุอาหารสูง เช่น ปุ๋ยสูตร 25-7-7 สลับกับปุ๋ยสูตร 46-0-0 ห่างกันประมาณ 15-20 วัน ที่สำคัญช่วงนี้มะนาวจะแตกยอดอ่อนออกมามากให้บำรุงรักษายอดอ่อนของมะนาวให้ดี โดยการพ่นยากำจัดหนอนชอนใบ
2. เดือน สิงหาคม ถึงเดือน ตุลาคม ช่วงนี้เรียกว่าช่วงสะสมอาหารเพื่อผลิตผล ให้งดการใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 25-7-7 กับ 46-0-0 และปุ๋ยคอก ให้ใส่ปุ๋ยเคมีที่มีธาตุอาหารตัวกลาง และตัวท้ายสูง เช่น สูตร 8-24-24 หรือ 12-24-12 ส่วนทางใบให้ฉีดพ่นด้วยสารเปิดตาดอก ฮอร์โมน ปุ๋ยทางใบ เช่นสูตร 0-52-34 พร้อมกับการงดให้น้ำแก่ต้นมะนาวประมาณ 7-15 วัน จนกระทั่งใบเหลืองและร่วง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของดินที่ปลูก ประมาณ 15 วันมะนาวก็จะเริ่มออกดอก
3. ช่วงเดือนตุลาคม มะนาวเริ่มออกดอก ให้นับไปอีกประมาณ 4 เดือนครึ่ง ถึง 5 เดือน มะนาวก็จะแก่พร้อมเก็บเกี่ยวในเดือน มีนาคม – เมษายน ซึ่งตรงกับช่วงมะนาวมีราคาแพงพอดี
เทคนิคดังกล่าวนี้เป็นเทคนิคที่ทราบกันโดยทั่วไป เกษตรกรมืออาชีพต้องหมั่นสังเกตและจดจำเพื่อนำไปปรุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สวนของตนเอง อันจะทำให้ประสบผลสำเร็จในการผลิตมะนาวนอกฤดู
สวนมะนาวดูแลง่าย ๆ จ้ะ
1.การเลือกกิ่งพันธุ์ เลือกพันธุ์ที่ คนในท้องถิ่นจะดีสุด เช่นแถวบ้านผมเขากินมะนาวแป้น ผมเลยปลูก แป้นดกพิเศษ แป้นรำไพ แป้นพิจิตร 1 เพราะจะได้ขายง่ายๆและเลือกกิ่งพันธุ์จากสวนที่เชื่อถือได้ ไม่เป็นโรค
2.การผสมดินในการปลูก ผมใช้สูตร 3:1:1 หน้าดิน:ขี้วัวเก่า:แกลบดิบ ผสมให้เข้ากัน ใส่ให้เต็มวงบ่อ จนพูน
3.กิ่งพันธุ์ที่นำมาปลูกควรชำประมาณ 20-30 วัน อย่าเกิน 30 วันนะครับ เพราะรากจะขดโตช้า
4.การปลูก อย่าปลูกลึกเกินไป อย่าให้ดินท่วมโคน และ ควรเสียบไม้ค้ำกันลม ครับ
5. การให้น้ำหลังปลูก ควรให้ระบบมินิสปริงเกอร์ วันละ 5-10 นาที ทุกวัน เช้า หรือ เย็น
6.การให้ปุ๋ยทางดิน ที่สวนผมใช้สูตรเสมอ 16 สูตรเดียว ในการปลูกผมไม่ได้รองพื้นด้วยปุ๋ย หลังจากปลูก 1 เดือนผมจะให้ ปุ๋ย ครั้งแรก มะนาวอายุ 1-2 เดือนให้ปุ๋ย ครึ่งช้อนแกง อายุ 3-5 เดือน 1 ช้อนแกง 6-12 เดือน ครั้งละ 3-4 ช้อนแกง ให้ปุ๋ย 20 วันครั้ง วิธีให้ปุ๋ย รดน้ำให้ชุ่ม โรยปุ๋ยห่างจากโคนต้นเป็นวงกลม รดน้ำให้ปุ๋ยละลาย ควรให้ปุ๋ยตอนเย็น อากาศจะได้ไม่ร้อนมาก ควรให้ปุ๋ยหมักสลับบ้าง 3 เดือน/ครั้ง
7. การให้ปุ๋ยทางใบ ผม ให้ปุ๋ยทางใบด้วยน้ำหมักผลไม้สุก (หมักเอง)ฉีดพ่น แบบละออง สัปดาห์ละครั้ง อัตราส่วน 40-50 cc ต่อน้ำ 20 ลิตร
8.การดูแลรักษา มะนาวต้องรักษายอดอ่อนให้ได้ มะนาวจะโตเร็ว ปราศจากโรค เพราะ หนอน หรือ แมลง จะกินแต่ยอดอ่อน
9.การรักษายอดอ่อนป้องกันหนอนชอนใบ เคมีฉีดพ่นด้วยอะบาแมคติน อินทรีย์ น้ำส้มควันไม้ 5-7 วัน ต่อ ครั้ง ในการฉีดสามารถผสมกับน้ำหมักผลไม้สุดฉีดพ่นพร้อมกันได้ เวลาพ่น เช้า หรือ เย็น (ใส่ชุดป้องกันด้วยนะครับ) นอกจากหนอน แมลงช้างค้อมก็ร้ายกาจ ฉีดพ่นด้วยคาโบซัลแฟน ถ้ามีเยอะๆ นะครับ
10.โรคแคงเกอร์ ที่สวนยังไม่เจอร์ ถ้าเจอกิ่งไหน ตัดทิ้งไปเผา ฉีดป้องกันด้วยสารพวกคอปเปอร์ ถ้าเป็นทั้งต้น ให้ตัดต้นทิ้ง และ เผาไฟ
11. การตัดแต่งกิ่ง ควรตัดแต่งกิ่ง 6 เดือนครั้ง ตัดให้โล่งแดดส่องถึงโคนต้นป้องกันการเกิดโรคได้ ครับ และมะนาว ยิ่งตัดยอดยิ่งแตก
12.อื่นๆ สอบถามเพิ่มได้นะครับ ตาเริ่มจะลาย ครับ 5555
ขอบคุณ :ไร่โชคเจริญรัตนะ เกษตรพอเพียง ผู้ให้ข้อมูล
วิธีการขยายพันธุ์พืช ด้วยการปักชำแบบควบแน่น
วิธีการขยายพันธุ์พืช ด้วยการปักชำแบบควบแน่น โดยแนวคิดของนายเฉลิม พีรี
จาก ศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
บ้านวัดใหม่ ๗๕ หมู่ ๓ ต.บึงสามัคคี อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร 089 – 5670591
วิธีการปักชำแบบควบแน่น
วิธีนี้ใช้ได้กับพืชผักและผลไม้ ๓๐ กว่าตัวอย่าง สามารถขยายได้ทีละมากๆ เมื่อเกิดน้ำท่วม
หรือลมพัดต้นแม่พันธุ์เสียหาย สามารถใช้วิธีนี้อนุรักษ์พันธุ์พืชได้ การขยายพันธุ์พืชผักพื้นบ้านแบบควบแน่นอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวิธีการที่สามารถลดเวลา ต้นทุนและการดูแลรักษา สามารถกำหนดปริมาณของผลผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาดและการบริโภคได้อย่างแม่นยำ
การขยายพันธุ์มะนาว แบบควบแน่น
องค์ประกอบในการควบแน่นมะนาว มีดังนี้
- ยอดมะนาว ความแก่อ่อน ๔๐ – ๖๐%
- น้ำสะอาด
- แก้วพลาสติค ขนาดบรรจุ ๑๐ ออนซ์ (หรือภาชนะที่ขนาดใหญ่กว่า ดูตามขนาดของยอดหรือกิ่งมะนาว)
- ถุงพลาสติคใสขนาด ๖ x ๑๑ นิ้ว (หรือขนาดใหญ่กว่า )
- ยางวงเส้นเล็ก หรือเชือก
วิธีทำการปักชำแบบควบแน่น
วิธีทำ
- เก็บดินจากบริเวณที่มีอินทรีวัตถุน้อย ทำดินให้ร่วนซุย
- พรมน้ำคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วปั้นดู พอติดมือ (กำพอเป็นก้อน)
- นำดินใส่ให้เต็มแก้วพลาสติคหรือภาชนะกระถางที่จะใช้ โดยแบ่งใส่ ๓ ครั้ง แต่ละครั้งกดดินให้แน่น ระดับ ๘๐%
- ใช้ไม้แหลมหรือกรรไกรเสียบตรงกลางภาชนะที่ใส่ดินให้ลึกไม่เกิน ๓ ใน ๔ ส่วนของแก้ว
- ใช้กรรไกรคม ตัดยอดมะนาวตามที่ต้องการ ตัดให้ยาวประมาณ ๑๒ – ๑๘ ซม. ข้อสำคัญ อย่าให้แผลที่ตัดเปลือฉีก จะออกรากไม่ดี
- ใช้กรรไกรตัดหนามออกให้หมด ป้องกันหนามแทงถุง ถ้าอากาศเข้าจะออกรากยาก
- นำยอดมะนาวเสียบลงในรูที่เสียบไว้ ให้สุด
- กดดินรอบกิ่งมะนาวให้แน่น อย่าให้หลวม จะออกรากยาก
- นำถุงพลาสติคครอบลงแล้วรัดด้วยยางวงจำนวน ๒ เส้น แล้วดึงก้นถุงให้ยางไปรัดอยู่ที่ขอบปากแก้ว
- นำไปเก็บไว้ในที่ร่มรำไร หลังจากนั้น ๑๕ – ๒๐ วัน ให้ตรวจดูราก พอพบรากให้ปล่อยจนรากมีสีน้ำตาลค่อยกลับถุง
การกลับถุง มีวิธีดังต่อไปนี้
๑.ให้นำถุงออกจากแก้ว ช่วงประมาณ ๑๘.๐๐ น. เพื่อป้องกันความร้อน
๒.นำถุงออกแล้ว นำแก้วมะนาวที่ออกรากแล้ว ใส่กลับลงไปในถุง (เปิดปากถุงไว้ ไม่ต้องใช้ยางวงรัด)
๓.ทิ้งไว้ในร่มรำไร ประมาณ ๕ – ๗ วัน ค่อยนำแก้วมะนาวออกจากถุง เพื่อให้มะนาวปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม
๔.หลังจากนั้นนำแก้วมะนาวที่ออกจากถุง พักตัวไว้ในร่ม ๗ – ๑๐ วัน ค่อยนำไปเพาะในกระถาง หรือนำไปปลูกได้เลย
โดย ลุงเฉลิม บอกว่า ลงทุนแค่แก้วพลาสติกใสเพื่อจะได้มองเห็นรากที่งอก, ยางเส้นวงเล็ก, ถุงพลาสติกขนาด 6×10 หรือ 6×11 นิ้วและดินทั่วๆ ไป แต่ถ้าเป็นดินขุยไผ่ยิ่งดี (ห้ามใส่ปุ๋ยเพราะทำให้ดินร้อน) เอาดินมาพรมน้ำทดลองกำ ถ้าดินจับตัวเป็นก้อนมีความร่วนซุยใส่ลงในแก้วพลาสติกกดให้แน่นจนดินเต็มเสมอปากแก้ว…จากนั้นเอายอดกิ่งไม้ที่เลือกไว้ ความอ่อนแก่ 40-60 เปอร์เซ็นต์ตัดกิ่งให้แผลเป็นรูปปากฉลาม ใช้กรรไกรเจาะดินลงไป 3 ใน 4 ส่วนของดิน นำกิ่งชำมาเสียบและกดลงไปให้แน่นแล้วเอาถุงพลาสติกสวมครอบกับแก้วพลาสติก แล้วใช้หนังยางวง 2 เส้น รัดปิดปากถุงกับแก้ว ป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกเข้านำไปวางในที่ร่มอากาศถ่ายเท ทิ้งไว้ 15 วัน แล้วรากจะงอกมาให้เห็นเมื่อรากเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จัดการเปิดถุงตัดก้นถ้วยให้เกิดช่องอากาศ นำไปจุ่มน้ำเล็กน้อยดึงแก้วออก แล้วเอากิ่งปักชำใส่ถุงใบเดิม นำไปวางพัก 5-7 วันจากนั้นถึงนำไปปลูกลงดิน โดยให้กิ่งชำเอนเฉียงไปทางทิศเหนือหรือใต้ เพราะถ้าปลูกตั้งตรงหรือหันเฉียงไปทางทิศอื่นแดดจะเผากิ่งชำตายได้…เป็นเทคนิคง่ายๆ ทำเองได้ ใช้ทุนไม่สูง จะเอาทำค้าขาย ลุงเฉลิม ไม่หวงวิชา. ( ลุงเฉลิมได้กล่าวไว้)
ปักชำควบแน่นพันธุ์ไม้ที่มีกิ่งที่ใหญ่
ในส่วนนี้ขอเสริมอีกหน่อย ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่ หรือพันธุ์ไม้ที่มีกิ่งที่ใหญ่ ก็ให้ใช้วัสดุในการปักชำใหญ่ขึ้นตามและอาจจะนำไม้ค้ำ ไว้ด้วยก็ดีเพื่อเสริมความคงทนไม่เอนเอียงง่ายไงก็ลองปรับ และ ประยุกช์ใช้กันนะครับ เพราะโดยส่วนตัวผมคิดว่า การนำความรู้ต่างๆมาประยุกช์ใช้ให้เข้ากับ
สิ่งที่เราอยากจะทำ มันจะนำพาความรู้มาต่อยอดให้เราได้เรื่อยๆ .. ” เกษตรกรไทย ก็เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก ” ครับผม
ขอบคุณลุงเฉลิม พีรี เจ้าของข้อมูล
จาก ศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
บ้านวัดใหม่ ๗๕ หมู่ ๓ ต.บึงสามัคคี อ.บึงสามัคคี จ.กำแพงเพชร 089 – 5670591
วิธีการปักชำแบบควบแน่น
หรือลมพัดต้นแม่พันธุ์เสียหาย สามารถใช้วิธีนี้อนุรักษ์พันธุ์พืชได้ การขยายพันธุ์พืชผักพื้นบ้านแบบควบแน่นอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นวิธีการที่สามารถลดเวลา ต้นทุนและการดูแลรักษา สามารถกำหนดปริมาณของผลผลิตให้ตรงกับความต้องการของตลาดและการบริโภคได้อย่างแม่นยำ
การขยายพันธุ์มะนาว แบบควบแน่น
องค์ประกอบในการควบแน่นมะนาว มีดังนี้
- ยอดมะนาว ความแก่อ่อน ๔๐ – ๖๐%
- น้ำสะอาด
- แก้วพลาสติค ขนาดบรรจุ ๑๐ ออนซ์ (หรือภาชนะที่ขนาดใหญ่กว่า ดูตามขนาดของยอดหรือกิ่งมะนาว)
- ถุงพลาสติคใสขนาด ๖ x ๑๑ นิ้ว (หรือขนาดใหญ่กว่า )
- ยางวงเส้นเล็ก หรือเชือก
วิธีทำ
- เก็บดินจากบริเวณที่มีอินทรีวัตถุน้อย ทำดินให้ร่วนซุย
- พรมน้ำคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วปั้นดู พอติดมือ (กำพอเป็นก้อน)
- นำดินใส่ให้เต็มแก้วพลาสติคหรือภาชนะกระถางที่จะใช้ โดยแบ่งใส่ ๓ ครั้ง แต่ละครั้งกดดินให้แน่น ระดับ ๘๐%
- ใช้ไม้แหลมหรือกรรไกรเสียบตรงกลางภาชนะที่ใส่ดินให้ลึกไม่เกิน ๓ ใน ๔ ส่วนของแก้ว
- ใช้กรรไกรคม ตัดยอดมะนาวตามที่ต้องการ ตัดให้ยาวประมาณ ๑๒ – ๑๘ ซม. ข้อสำคัญ อย่าให้แผลที่ตัดเปลือฉีก จะออกรากไม่ดี
- ใช้กรรไกรตัดหนามออกให้หมด ป้องกันหนามแทงถุง ถ้าอากาศเข้าจะออกรากยาก
- นำยอดมะนาวเสียบลงในรูที่เสียบไว้ ให้สุด
- กดดินรอบกิ่งมะนาวให้แน่น อย่าให้หลวม จะออกรากยาก
- นำถุงพลาสติคครอบลงแล้วรัดด้วยยางวงจำนวน ๒ เส้น แล้วดึงก้นถุงให้ยางไปรัดอยู่ที่ขอบปากแก้ว
- นำไปเก็บไว้ในที่ร่มรำไร หลังจากนั้น ๑๕ – ๒๐ วัน ให้ตรวจดูราก พอพบรากให้ปล่อยจนรากมีสีน้ำตาลค่อยกลับถุง
การกลับถุง มีวิธีดังต่อไปนี้
๑.ให้นำถุงออกจากแก้ว ช่วงประมาณ ๑๘.๐๐ น. เพื่อป้องกันความร้อน
๒.นำถุงออกแล้ว นำแก้วมะนาวที่ออกรากแล้ว ใส่กลับลงไปในถุง (เปิดปากถุงไว้ ไม่ต้องใช้ยางวงรัด)
๓.ทิ้งไว้ในร่มรำไร ประมาณ ๕ – ๗ วัน ค่อยนำแก้วมะนาวออกจากถุง เพื่อให้มะนาวปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม
๔.หลังจากนั้นนำแก้วมะนาวที่ออกจากถุง พักตัวไว้ในร่ม ๗ – ๑๐ วัน ค่อยนำไปเพาะในกระถาง หรือนำไปปลูกได้เลย
โดย ลุงเฉลิม บอกว่า ลงทุนแค่แก้วพลาสติกใสเพื่อจะได้มองเห็นรากที่งอก, ยางเส้นวงเล็ก, ถุงพลาสติกขนาด 6×10 หรือ 6×11 นิ้วและดินทั่วๆ ไป แต่ถ้าเป็นดินขุยไผ่ยิ่งดี (ห้ามใส่ปุ๋ยเพราะทำให้ดินร้อน) เอาดินมาพรมน้ำทดลองกำ ถ้าดินจับตัวเป็นก้อนมีความร่วนซุยใส่ลงในแก้วพลาสติกกดให้แน่นจนดินเต็มเสมอปากแก้ว…จากนั้นเอายอดกิ่งไม้ที่เลือกไว้ ความอ่อนแก่ 40-60 เปอร์เซ็นต์ตัดกิ่งให้แผลเป็นรูปปากฉลาม ใช้กรรไกรเจาะดินลงไป 3 ใน 4 ส่วนของดิน นำกิ่งชำมาเสียบและกดลงไปให้แน่นแล้วเอาถุงพลาสติกสวมครอบกับแก้วพลาสติก แล้วใช้หนังยางวง 2 เส้น รัดปิดปากถุงกับแก้ว ป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกเข้านำไปวางในที่ร่มอากาศถ่ายเท ทิ้งไว้ 15 วัน แล้วรากจะงอกมาให้เห็นเมื่อรากเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จัดการเปิดถุงตัดก้นถ้วยให้เกิดช่องอากาศ นำไปจุ่มน้ำเล็กน้อยดึงแก้วออก แล้วเอากิ่งปักชำใส่ถุงใบเดิม นำไปวางพัก 5-7 วันจากนั้นถึงนำไปปลูกลงดิน โดยให้กิ่งชำเอนเฉียงไปทางทิศเหนือหรือใต้ เพราะถ้าปลูกตั้งตรงหรือหันเฉียงไปทางทิศอื่นแดดจะเผากิ่งชำตายได้…เป็นเทคนิคง่ายๆ ทำเองได้ ใช้ทุนไม่สูง จะเอาทำค้าขาย ลุงเฉลิม ไม่หวงวิชา. ( ลุงเฉลิมได้กล่าวไว้)
ปักชำควบแน่นพันธุ์ไม้ที่มีกิ่งที่ใหญ่
ในส่วนนี้ขอเสริมอีกหน่อย ถ้าเป็นต้นไม้ใหญ่ หรือพันธุ์ไม้ที่มีกิ่งที่ใหญ่ ก็ให้ใช้วัสดุในการปักชำใหญ่ขึ้นตามและอาจจะนำไม้ค้ำ ไว้ด้วยก็ดีเพื่อเสริมความคงทนไม่เอนเอียงง่ายไงก็ลองปรับ และ ประยุกช์ใช้กันนะครับ เพราะโดยส่วนตัวผมคิดว่า การนำความรู้ต่างๆมาประยุกช์ใช้ให้เข้ากับ
สิ่งที่เราอยากจะทำ มันจะนำพาความรู้มาต่อยอดให้เราได้เรื่อยๆ .. ” เกษตรกรไทย ก็เก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก ” ครับผม
ขอบคุณลุงเฉลิม พีรี เจ้าของข้อมูล
วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558
วิธีกำจัดเพลี้ยแป้ง...แบบง่ายๆ เพื่อใครที่เจอกับปัญหานี้อยู่ ลองดูกันนะครับ
การกำจัดเพลี้ยแป้ง เพราะคนที่ปลูกไม้กระถางหรือผักสวนครัวมักถูกเพลี้ยแป้งเข้ามารบกวนการใช้สารเคมีฆ่าเพลี้ยเท่ากับฆ่าเราด้วย เพลี้ยแป้ง เป็นแมลงที่คอยดูดกินน้ำเลี้ยงตามต้นไม้ ยอดใบอ่อนหรือใต้พุ่มใบ โดยอาศัยมดคอยคาบเพลี้ยไปวางตามยอดไม้ แล้วคอยกินน้ำหวานที่เพลี้ยถ่ายออกมาวิธีการกำจัดคือ
2. ตัดส่วนที่มีเพลี้ยแป้งออกไปทิ้ง
3. ใช้น้ำส้มสายชู 1 ฝา ผสมกับน้ำเปล่า 2-3 ลิตร พอให้เจือจาง นำไปผสมกับน้ำยาล้างจานอีกเล็กน้อย แล้วฉีดพ่นที่ตัวเพลี้ย ไม่นานเพลี้ยจะหายไป
4. ใช้พริก จะสดจะแห้งก็ได้ เอาเผ็ดๆ สักช้อน-2ช้อนกาแฟน้ำยาล้างจาน แบบที่ไม่มีสารฟอก 1 ช้อนกาแฟ
กระเทียมสด 1 หัวใหญ่หัวหอมสด 1 พอๆ กับกระเทียมปั่น , เติมน้ำให้ปั่นให้ทั่วได้เติมน้ำเกือบเต็มขวดน้ำอัดลม 2 ลิตร เอาของที่ปั่นแล้วเทลงไป หมักทิ้งไว้ 1 คืนกรอง แล้วเอาไปใช้กับสเปรย์ได้เลยระวัง พวกผักใบอ่อน เช่น ผักกาด อาจจะไหม้
5. วิธีการนี้ได้มาจาก รักบ้านเกิด ดอทคอม
สูตรที่ 1 : นำเอาเนื้อในผลแก่จัดของน้ำเต้าจำนวน 1 กิโลกรัมคั้นเอาเฉพาะน้ำกรองด้วยตาข่ายเขียวและผ้าขาวบางจากนั้นนำไปผสมกับ น้ำเปล่าจำนวน 5 ลิตร นำไปใช้งานในอัตราส่วน 1 ลิตรผสมกับน้ำเปล่า 200 ลิตรทำการฉีดพ่นเพื่อกำจัดราดำและเพลี้ยในถั่วฝักยาว
สูตรที่ 2 : นำน้ำผงซักฟอกที่ใช้ซักผ้า(น้ำแรก)จำนวน 10 ลิตรผสมกับน้ำเปล่า 200 ลิตรนำไปฉีดพ่นในช่วงที่มีอากาศเย็น1-2 ครั้งสามารถกำจัดเพลี้ยแป้งได้
สูตร ที่ 3 : ใช้น้ำผงซักฟอกจำนวน 100 ซี.ซี.ผสมกับน้ำเปล่า 200 ลิตรแล้วนำไปผสมกับน้ำของน้ำเต้าที่กรองแล้วจำนวน 1 ลิตร สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดศัตรูพืชได้ดี
6. วิธีจากลุงเบิ้มฟาร์ม สิ่งที่ต้องเตรียม ก็มีแป้งข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวละเอียด 2 ถ้วย + น้ำ 5-10 ลิตร ฉีดพ่นใส่ต้นพืชบริเวณที่ เพลี้ยอ่อน ไร กำลังระบาด ตอนเช้า แสงแดดเริ่มส่อง พอถึงตอนกลางวันขอให้มีแสงแดดจัด เมื่อแดดร้อนขึ้นน้ำในแป้งแห้งเหลือแต่แป้งคลุมตัวเพลี้ยอ่อนและไร ทำให้หายใจไม่ออกและแป้งร้อนขึ้นจนเพลี้ยอ่อนแลไรตาย การใช้แป้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อการสังเคราะห์แสงของพืชนะครับ
7. สูตรคุณบุญล้อม เฉิดไธสงค์ เกษรตกร บ้านห้วยค้อ ต.หนองแวงนาเป้า อ.พล จ.ขอนแก่น
ส่วนผสม และวัสดุอุปกรณ์
1.ใบมะละกอสด 5 ก.ก.
2.ยาฉุน 2 ขีด
3.น้ำหมัก EM สูตรสมุนไพร 1 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำเปล่า 5 ลิตร
5.ถุงมือแพทย์
วิธีการทำ
นำเอาใบมะละกอสด มาขยี้คั้นเอาแต่น้ำ ผสมยาฉุนขยี้และกรองเอาแต่น้ำ ผสมน้ำหมัก EM สูตรสมุนไพร 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน
วิธีการนำไปใช้
นำ เอาน้ำสกัดหยอดน้ำมันพืชลงไป 1 ช้อนชา นำไปฉีดพ่นทางใบ โดยไม่ต้องผสมน้ำอีก บริเวณเกิดการระบาดของเพลี้ยที่เกิดจากพืชทุกชนิด อาทิ พริก ถั่วฝักยาว มะเขือ แตงกวา เป็นต้น สรรพคุณสามารถกำจัดเพลี้ยแป้ง เพลี้ยดำ แมลงหวี่ แมลงวันทองได้
แถมอีกนิด กับ สูตรการกำจัดเพลี้ยและแมลงต่างๆ
1. สูตรป้องกันและกำจัดเพลี้ยแป้ง หนอนชอนใบ และแมลงอื่นๆ
ส่วนประกอบ
1. เหล้าขาว 2 ขวด
2. น้ำส้มสายชู 5% 1 ลิตร
3. สารอีเอ็ม 1 ลิตร
4. กากน้ำตาล 1 ลิตร
5. น้ำสะอาด 10 ลิตร
วิธีทำ
นำกากน้ำตาลผสมน้ำคนให้เข้ากันใส่เหล้าขาว น้ำส้มสายชู และสารอีเอ็มผสมให้เข้ากัน ปิดฝาภาชนะให้สนิท หมักทิ้งไว้ 10-15 วัน คนส่วนผสมในภาชนะทุกวัน เพื่อไม่ให้เกิดการนอนก้น เปิดฝาระบายก๊าซหลังจากคน เมื่อครบกำหนดแล้วจึงนำไปฉีดพ่นเพื่อกำจัดแมลง และป้องกันโรคพืชบางชนิด เช่น ใบหงิกและใบด่าง
วิธีใช้
- ใช้ 1-5 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำสะอาด 5-10 ลิตร
- ฉีดพ่นให้ชุ่มและทั่วถึงทั้งนอกและในพุ่ม
- ใช้กับพืชผักทุก 3 วัน สลับกับพ่นปุ๋ยน้ำ
- พืชไร่ พืชสวน พ่นทุก 3-7 วัน สลับกับการพ่นปุ๋ยน้ำ
- ผสมกับกากน้ำตาล หรือนมสด ฯลฯ เพื่อเป็นสารจับใบ
สูตรป้องกันกำจัดหนอนหลอดหอม หนอนชอนใบ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยในผลไม้ (สูตรเข้มข้น)
ส่วนประกอบ
1. เหล้าขาว 2 แก้ว
2. น้ำส้มสายชู5% 1 แก้ว
3. สารอีเอ็ม 1 แก้ว
4. กากน้ำตาล 1 แก้ว
วิธีทำ
นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงไปในภาชนะคนให้เข้ากันและปิดฝาให้สนิท หมักทิ้งไว้ 1 วัน แล้วนำไปฉีดพ่น
วิธีใช้
ใช้ 5-10 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตร
สูตรไล่หอยหรือเพลี้ยไฟป้องกันใบข้าวไหม้
ส่วนประกอบ
1. ยอดยูคาลิปตัส 2 กิโลกรัม
2. ยอดสะเดา 20 ยอด หรือ 1 ปี๊บ
3. ข่าแก่ 2 กิโลกรัม
4. บอระเพ็ด 2 กิโลกรัม
5. จุลินทรีย์ 1 แก้ว
6. กากน้ำตาล 1 แก้ว
วิธีทำ
นำยอดยูคาลิปตัส ยอดสะเดา ข่าแก่ และบอระเพ็ด แต่ละอย่างแยกกันใส่ปี๊บ ใส่น้ำให้เต็มต้มให้เหลือน้ำอย่างละครึ่งปี๊บทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำมาเทรวมกันใส่โอ่ง ใส่จุลินทรีย์ลงไป 1 แก้ว กากน้ำตาล 1 แก้ว ปิดฝาให้สนิท ทิ้งไว้ 3 วัน แล้วกรองเอาแต่น้ำ นำน้ำที่ได้มาใช้
วิธีใช้
ใช้ 0.5 แก้ว ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นราดในไร่หรือนาข้าว
อีก 1 สูตรกับสูตรของทางเว็บรักบ้านเกิด
1.กระเทียม : ใช้ส่วนหัวสดแก่ 1 กก. โขลกละเอียดแช่ในน้ำมันก๊าดหรือแอลกอฮอล์พอท่วม (ประมาณ 1 ลิตร) นาน 24 ชม. หรือแช่ในน้ำร้อนจัด 1 ลิตร นาน 24 ชม. เหมือนกัน ได้หัวเชื้อ อัตราใช้ หัวเชื้อทั้งหมดผสมน้ำ 60 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่มทุก 3-5 วัน ศัตรูพืช ด้วงหมัดผัก ด้วงปีกแข็ง ด้วงงวงกัดใบ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไส้เดือนฝอย แมลงหวี่ขาว เชื้อรา(โรคกลิ่นสับปะรด โรคต้นเน่าผลเน่า โรคผักเน่า โรครากำมะหยี่หรือใบไหม้ โรคราน้ำค้าง โรครากเน่าโคนเน่า โรคเหี่ยว โรคใบจุด โรคใบเน่า) ไวรัสวงแหวนในมะละกอ แบคทีเรียต่างๆ
2.ขมิ้นชัน : ใช้ส่วนหัวแก่ 1 กก. โขลกละเอียดแช่น้ำ 20 ลิตร นาน 24 ชม. ได้หัวเชื้อ อัตราใช้ หัวเชื้อ 1-2 ลิตร/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่มทุก 3-5 วัน ศัตรูพืช เชื้อรา(โรคผลเน่า โรคใบแห้ง) หนอน(หนอนกระทู้ผัก หนอนคืบกะหล่ำ หนอนแก้ว หนอนใยผัก หนอนเจาะยอด) ด้วงเจาะเมล็ดถั่ว ด้วงงวงข้าวเปลือก มอดข้าวเปลือก ไรแดง
3.ยาง มะละกอ : ใช้ส่วนใบแก่สดและเปลือกผลแก่ติดยาง 1 กก. บดป่นแช่น้ำ 20 ลิตร นาน 24 ชม. ได้หัวเชื้อ อัตราใช้ หัวเชื้อ 30-50 ซีซี./น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่มทุก 3-5 วัน ศัตรูพืช ราสนิมกาแฟ ราแป้ง เพลี้ยไฟ
4.น้ำยาฉุนเพื่อฉีดป้องกันและกำจัดแมลง
น้ำยางกล้วย + กระทิงแดง 1 ขวด
1. รองน้ำยางกล้วยจากการตัดปลีกล้วยออก
2. นำมาผสมในกระทิงแดงจนเต็มขวด
3. เขย่าขวดแช่ตู้เย็นไว้
การใช้งาน
1. ผสมน้ำยางกล้วยผสมกระทิงแดง 1ฝา ต่อ น้ำ 20 ลิตร
2. ป้องกันมด,แมลงกับเพลี้ยอ่อน
ขอบคุณที่มา ของการรวบรวมสูตรต่างๆ โดย : อาจารย์ชาตรี ต่วนศรีแก้ว
จุลินทรีย์หน่อกล้วย
1. จุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรหัวเชื้อ
กล้วยปลูกที่ไหนดินบริเวณกอกล้วย ณ นั้น จะดี เบื้องหลังความร่วนซุยอุ้มน้ำของดินดังกล่าวเกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินรอบๆ รากกล้วย ซึ่งหากขยายเชื้อให้มากแล้ว ย่อมนำไปใช้ปรับปรุงดินในที่อื่นๆให้ดีขึ้นได้นอกจากนั้นหน่อกล้วย มีน้ำยางฝาดหรือสารแทนนินมาก เมื่อหมักแล้วน้ำหมักที่ได้ยังสามารถนำมาใช้ในการควบคุมโรคพืชบางอย่างได้ทั้งสามารถนำไปใช้ปรับปรุงสภาพน้ำที่เน่าเสียให้ฟื้นสภาพกลับดีได้อีกด้วย
ส่วนผสม
1. หน่อกล้วยสับบดละเอียด 3 กก.
2. กากน้ำตาล 1 กก.
วิธีทำ
ขุดหน่อกล้วยต้นสมบูรณ์ที่ไม่เป็นโรคขนาดหน่อใบธงหรือใบหูกวางสูงไม่เกิน 1 เมตรเอาเหง้าพร้อมรากที่มีดินติดรากขึ้นมาด้วย 1- 2 ช้อนแกงสับหรือบดให้ละเอียดโดยไม่ต้องล้างน้ำแล้วนำมาคลุกเคล้ากับกากน้ำตาลในอัตราส่วนเป็นน้ำหน่อกล้วย 3 ส่วนต่อกากน้ำตาล 1 ส่วนเช่นหน่อกล้วย 3 กิโลใช้กากน้ำตาล 1 กิโล ถ้าหน่อกล้วย 6 กิโล ใช้กากน้ำตาล 2 กิโลเป็นต้นหมักในภาชนะพลาสติกมีฝาปิดเก็บไว้ในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกจากนั้นคนเช้าเย็นทุกวันจนครบ7 วันแล้วคั้นเอาน้ำออกเก็บไว้ได้นาน 6 เดือน ในกรณีต้องการใช้มากให้ขยายเชื้อโดยใช้สูตรขยาย
2. จุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรขยาย
ส่วนผสม
1. หยวกกล้วยสับบดละเอียด 60 กก.
2. กากน้ำตาล 20 กก.
3. น้ำ 10 ลิตร
4. ลูกแป้งข้าวหมาก 1 ก้อน
5. หัวเชื้อ 1 ลิตร
วิธีทำ
ผสมส่วนต่างๆในถังพลาสติก โดยบี้ลูกแป้งข้าวหมากให้เป็นผงเสียก่อน ต้นกล้วยใช้เฉพาะส่วนของต้นที่ใหญ่หรือตัดเครือแล้ว สับบดย่อยหรือโขลกให้ละเอียดก่อนใส่ แล้วคนให้เข้ากันปิดฝาเก็บในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก จากนั้นคนเช้าเย็นจนครบ 7 วัน จึงคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ซึ่งใช้ได้ดีเช่นเดียวกับ หัวเชื้อจุลินทรีย์หน่อกล้วย
ประโยชน์และวิธีใช้
1.ใช้ปรับปรุงโครงสร้างของดินและกำจัดเชื้อโรคในดินผสมจุลินทรีย์หน่อกล้วยในอัตรา 20 -40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ราดลงบนดินรวมไปพร้อมกับการให้น้ำ
2. ใช้ป้องกันกำจัดโรคพืช ผสมจุลินทรีย์หน่อกล้วย 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดต้นพืชให้เปียกชุ่มโชกทั่วทั้งใบและใต้ใบเพื่อล้างน้ำฝนภายหลังจากที่ฝนหยุดตกนานเกิน 30นาทีเพื่อป้องกันโรคที่มากับน้ำ หรือฉีดพ่นใน20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตรเมื่อพบการระบาดของโรคพืชทั้งเว้นการให้น้ำ 48 ช.ม. เพื่อลดความชื้น
3. ใช้ปรับปรุงคุณภาพน้ำในร่องสวนสระเก็บน้ำและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำใส่จุลินทรีย์หน่อกล้วย 10 ลิตร ต่อน้ำ 10,000 ลิตร
4. ล้างทำความสะอาดคอกสัตว์ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตร
5. เร่งการย่อยสลายเศษซากอินทรีย์วัตถุหรือดับกลิ่นขยะของเน่าเสียให้ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตรกรณีหมักฟางข้างในแปลงนาใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย 5 ลิตรต่อพื้นที่นา 1 ไร่
6. จุลินทรีย์หน่อกล้วยเก็บไว้ใช้ได้นาน 6 เดือน
หมายเหตุ กรณีฉีดพ่นหรือราดลงดินโดยไม่ให้ถูกใบพืชสามารถใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย1 ลิตร ต่อน้ำ 200ลิตรเพื่อปรับโครงสร้างของดินแต่การใช้แต่ละครั้งไม่ควรเกิน 5 ลิตรต่อ 1 ไร่
กล้วยปลูกที่ไหนดินบริเวณกอกล้วย ณ นั้น จะดี เบื้องหลังความร่วนซุยอุ้มน้ำของดินดังกล่าวเกิดจากกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินรอบๆ รากกล้วย ซึ่งหากขยายเชื้อให้มากแล้ว ย่อมนำไปใช้ปรับปรุงดินในที่อื่นๆให้ดีขึ้นได้นอกจากนั้นหน่อกล้วย มีน้ำยางฝาดหรือสารแทนนินมาก เมื่อหมักแล้วน้ำหมักที่ได้ยังสามารถนำมาใช้ในการควบคุมโรคพืชบางอย่างได้ทั้งสามารถนำไปใช้ปรับปรุงสภาพน้ำที่เน่าเสียให้ฟื้นสภาพกลับดีได้อีกด้วย
ส่วนผสม
1. หน่อกล้วยสับบดละเอียด 3 กก.
2. กากน้ำตาล 1 กก.
วิธีทำ
ขุดหน่อกล้วยต้นสมบูรณ์ที่ไม่เป็นโรคขนาดหน่อใบธงหรือใบหูกวางสูงไม่เกิน 1 เมตรเอาเหง้าพร้อมรากที่มีดินติดรากขึ้นมาด้วย 1- 2 ช้อนแกงสับหรือบดให้ละเอียดโดยไม่ต้องล้างน้ำแล้วนำมาคลุกเคล้ากับกากน้ำตาลในอัตราส่วนเป็นน้ำหน่อกล้วย 3 ส่วนต่อกากน้ำตาล 1 ส่วนเช่นหน่อกล้วย 3 กิโลใช้กากน้ำตาล 1 กิโล ถ้าหน่อกล้วย 6 กิโล ใช้กากน้ำตาล 2 กิโลเป็นต้นหมักในภาชนะพลาสติกมีฝาปิดเก็บไว้ในที่ร่มที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกจากนั้นคนเช้าเย็นทุกวันจนครบ7 วันแล้วคั้นเอาน้ำออกเก็บไว้ได้นาน 6 เดือน ในกรณีต้องการใช้มากให้ขยายเชื้อโดยใช้สูตรขยาย
2. จุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรขยาย
ส่วนผสม
1. หยวกกล้วยสับบดละเอียด 60 กก.
2. กากน้ำตาล 20 กก.
3. น้ำ 10 ลิตร
4. ลูกแป้งข้าวหมาก 1 ก้อน
5. หัวเชื้อ 1 ลิตร
วิธีทำ
ผสมส่วนต่างๆในถังพลาสติก โดยบี้ลูกแป้งข้าวหมากให้เป็นผงเสียก่อน ต้นกล้วยใช้เฉพาะส่วนของต้นที่ใหญ่หรือตัดเครือแล้ว สับบดย่อยหรือโขลกให้ละเอียดก่อนใส่ แล้วคนให้เข้ากันปิดฝาเก็บในที่ร่มอากาศถ่ายเทสะดวก จากนั้นคนเช้าเย็นจนครบ 7 วัน จึงคั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ซึ่งใช้ได้ดีเช่นเดียวกับ หัวเชื้อจุลินทรีย์หน่อกล้วย
ประโยชน์และวิธีใช้
1.ใช้ปรับปรุงโครงสร้างของดินและกำจัดเชื้อโรคในดินผสมจุลินทรีย์หน่อกล้วยในอัตรา 20 -40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ราดลงบนดินรวมไปพร้อมกับการให้น้ำ
2. ใช้ป้องกันกำจัดโรคพืช ผสมจุลินทรีย์หน่อกล้วย 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดต้นพืชให้เปียกชุ่มโชกทั่วทั้งใบและใต้ใบเพื่อล้างน้ำฝนภายหลังจากที่ฝนหยุดตกนานเกิน 30นาทีเพื่อป้องกันโรคที่มากับน้ำ หรือฉีดพ่นใน20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตรเมื่อพบการระบาดของโรคพืชทั้งเว้นการให้น้ำ 48 ช.ม. เพื่อลดความชื้น
3. ใช้ปรับปรุงคุณภาพน้ำในร่องสวนสระเก็บน้ำและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำใส่จุลินทรีย์หน่อกล้วย 10 ลิตร ต่อน้ำ 10,000 ลิตร
4. ล้างทำความสะอาดคอกสัตว์ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตร
5. เร่งการย่อยสลายเศษซากอินทรีย์วัตถุหรือดับกลิ่นขยะของเน่าเสียให้ฉีดพ่นจุลินทรีย์หน่อกล้วย 1 ลิตรต่อน้ำ 100 ลิตรกรณีหมักฟางข้างในแปลงนาใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย 5 ลิตรต่อพื้นที่นา 1 ไร่
6. จุลินทรีย์หน่อกล้วยเก็บไว้ใช้ได้นาน 6 เดือน
หมายเหตุ กรณีฉีดพ่นหรือราดลงดินโดยไม่ให้ถูกใบพืชสามารถใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย1 ลิตร ต่อน้ำ 200ลิตรเพื่อปรับโครงสร้างของดินแต่การใช้แต่ละครั้งไม่ควรเกิน 5 ลิตรต่อ 1 ไร่
สูตร 1-4-7 ของ ดร.ระวี เสรฐภักดี
เกจิไม้ผลชื่อดังของเมืองไทย แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน"หลายครั้งที่มีผู้นำสูตรนี้ไปใช้แล้วไม่ได้ผลแม้จะมีกรรมวิธีการใช้สารเคมีและการฉีดพ่นตามวงรอบที่ถูกต้องแล้วก้อตามแต่ยอดอ่อนก้อยังถูกโรคและแมลงเข้าทำลาย จึงเป็นเหตุให้พาลคิดว่าใช้สูตรนี้ไม่ได้ผลซึ่งแท้จริงแล้วจุดสำคัญที่สุดจะอยู่ที่ การนับวันแรกที่จะเริ่มใช้สูตร1-4-7
ครั้งที่ 1 ของการใช้สูตร 1-4-7 จะเริ่มตั้งแต่ยอดอ่อนผลิออกมาใหม่ประมาณเขี้ยวกระแตยอดอ่อนผลิออกมาใหม่ประมาณเขี้ยวกระแต คือยอดอ่อนแตกได้ ประมาณ 3 - 5 มม. ซึ่งในช่วงระยะเวลานนี้จะมีทั้งโรคและแมลงเข้ามาวางไข่และทำลายยอดอ่อน ให้เริ่มนับเป็นวันที่ 1 โดยฉีดพ่น (จับใบ+ (อิมิดาครอพริด,กำมะถันทอง) )
ครั้งที่2 หลังจากฉีดพ่นครั้งที่ 1 ให้เว้นสองวันแล้วเริ่มฉีดพ่นในวันที่ 4 (จับใบ+(อบาเม็กติน,ไซเปอร์เมทริน) )
ครั้งที่3 หลังจากฉีดพ่นครั้งที่ 2 ให้เว้นสองวันแล้วเริ่มฉีดพ่นในวันที่ 7 (จับใบ+ฟังกูราน+ (คาร์โบซัลแฟน,โอไมท์) )
ข้อควรระวัง ห้ามพ่นสารเคมีขณะเเดดจัดหรือผสมสารเข้มข้นจนเกินไป การใช้สารเคมีจะสลับปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ไม่ได้ตายตัวว่าต้องใช้ตามนี้ เพียงเท่านี้ยอดอ่อนก็จะผลิออกสวยงาม ไม่มีปัญหาหนอนชอนใบหรือใบบิดม้วนอันเนื่องมาจากเพลี้ยไฟหรือไรแดงแน่นอนคับ
การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ และการทำมะนาวนอกฤดู
การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์ลงทุนหนักแค่ช่วงแรก สำหรับเกษตรกรที่คิดจะปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 บ่อ จะใช้เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เท่านั้น ซึ่งจะใช้เงินลงทุนมากในช่วงเริ่มแรก ส่วนค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ที่วงบ่อซีเมนต์และฝารองซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่ายกิ่งพันธุ์มะนาว, ระบบน้ำ ฯลฯ รวมเป็นเงินในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จำนวน 100 วงบ่อ เป็นเงิน 27,000 บาทโดยประมาณ
ต้นมะนาวในวงบ่อเมื่อมีอายุต้นเพียง 8 เดือน จะบังคับให้ต้นออกฤดูแล้งได้โดยใช้หลักการเดียวกับการปลูกลงดินคือคลุมพลาสติกให้กับต้นมะนาวในช่วงเดือนกันยายนและกระตุ้นการออกดอกในเดือนตุลาคม จะได้ผลผลิตมะนาวแก่ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มะนาวราคาแพงที่สุด เท่ากับว่าในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์จะใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้นสามารถเก็บผลผลิตได้ในช่วงฤดูแล้ง
การเตรียมดินปลูกมะนาวและขนาดของวงบ่อซีเมนต์
ขนาดของวงบ่อซีเมนต์จะใช้ขนาดวงเส้นผ่าศูนย์กลาง 80-100 เซนติเมตร ใช้ฝาวงบ่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างกว่า 10 เซนติเมตร เพื่อป้องกันรากแทงทะลุลงดิน ดินผสมที่จะใช้ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ จะใช้วัสดุปลูกหลัก 3 ชนิด คือ
1. หน้าดิน 3 ส่วน
2. ขี้วัวเก่า 1 ส่วน
3. เปลือกถั่วเขียว 2 ส่วน (ถ้าไม่มีใช้แกลบดิบแทน)
ผสมคลุกเคล้ากัน การใช้เปลือกถั่วเขียวจะช่วยให้สภาพดินมีการระบายน้ำที่ดี ถ้าใช้แค่หน้าดินผสมกับขี้วัวจะทำให้ดินปลูกแน่น เวลาให้น้ำไป 3-4 วัน น้ำยังไม่ถึงข้างล่างของวงบ่อ ดินที่จะใช้ในการปลูกมะนาว จำนวน 100 วงบ่อ จะต้องใช้หน้าดินประมาณ 1 คันรถสิบล้อ
เทคนิคในการผสมวัสดุปลูกจะต้องปูพื้นด้วยหน้าดินเป็นขั้นแรก หลังจากนั้น ใส่ขี้วัวเก่าเป็นชั้นที่ 2 แล้วตามด้วยเปลือกถั่วเขียวเป็นชั้นบนสุด หลังจากนั้นใช้เครื่องตีพรวนติดรถไถจะเร็วกว่าใช้แรงงานคน
เทคนิคการใส่วัสดุปลูกลงบ่อซีเมนต์
ที่ผ่านมาเกษตรกรที่ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ส่วนใหญ่จะใส่วัสดุปลูกในวงบ่อซีเมนต์เพียงเสมอวงบ่อเท่านั้น เมื่อรดน้ำไปได้เพียงแค่สัปดาห์เดียว วัสดุปลูกจะยุบตัวลงมาประมาณ 1 คืบมือ ถ้าเกษตรกรเติมวัสดุปลูกลงไปจะไปกลบลำต้นมะนาว ปัญหาเรื่องโรคโคนเน่าจะตามมา ดังนั้น ในการใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อซีเมนต์จะต้องใส่ให้พูนเป็นภูเขาเลย และที่จะต้องเน้นเป็นพิเศษขณะที่ใส่วัสดุปลูกลงในวงบ่อนั้นคือ จะต้องขึ้นเหยียบวัสดุปลูกขอบๆ วงบ่อ บริเวณตรงกลางไม่ต้องเหยียบ การใส่วัสดุปลูกให้เป็นภูเขาจะช่วยในเรื่องดินยุบลงมาเสมอวงบ่อได้นานถึง 1 ปี
วิธีการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ที่ถูกต้อง
หลังจากที่ใส่วัสดุปลูกลงในบ่อซีเมนต์เรียบร้อยแล้ว ให้เกษตรกรขุดเปิดปากหลุมให้มีขนาดเท่ากับขนาดของถุงที่ใช้ชำต้นมะนาว (โดยปกติถ้าใช้กิ่งตอนมะนาว ควรจะชำต้นมะนาวไว้นานประมาณ 1 เดือน เท่านั้น ไม่แนะนำให้ซื้อต้นมะนาวที่ชำมานานแล้วหลายเดือน หรือชำค้างปี เนื่องจากจะพบปัญหาเรื่องรากขด ทำให้เจริญเติบโตช้าหรือต้นแคระแกร็น) รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 16-16-16 อัตราประมาณ 1 กำมือ ถอดถุงดำปลูกต้นมะนาวให้พอดีกับระดับดินเดิม กลบดินแล้วใช้เท้าเหยียบรอบๆ ต้น เพื่อไม่ให้โยกคลอน ปักไม้เป็นหลักกันลมโยกและใช้เชือกฟางมัดต้นมะนาวไว้กับหลัก หลังจากปลูกเสร็จให้เดินท่อ PE เจาะหัวมินิสปริงเกลอร์และวางท่อ PE พาดไปกับวงบ่อเลยเพื่อสะดวกต่อการทำงาน
ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ได้ตลอดทั้งปี
ในการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี ปลูกไปแล้วนับไปอีก 8 เดือน เกษตรกรสามารถบังคับให้ต้นออกดอกได้ ถ้าเกษตรกรจะบังคับให้มะนาวออกฤดูแล้งในรุ่นแรกแนะนำให้ปลูกต้นมะนาวในช่วงเดือนมกราคม ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ในปีเดียวกันบังคับต้นให้ออกดอกได้โดยใช้หลักการเหมือนกับที่ปลูกลงดิน ผลผลิตมะนาวฤดูแล้งจะไปแก่และเก็บผลผลิตขายได้ราคาแพงในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของปีถัดไป เท่ากับว่าการปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ใช้เวลาปลูกเพียงปีเศษเท่านั้น เกษตรกรสามารถเก็บมะนาวฤดูแล้งขายได้
วิธีการรดน้ำต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ ทำอย่างไร
ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ให้ใช้พลาสติคคลุมปากบ่อซีเมนต์เพื่อป้องกันน้ำหรือฝนที่ตกลงมาในช่วงแรกๆ แต่พบปัญหาว่าเมื่อเกษตรกรนำพลาสติคไปคลุมกลับรักษาความชื้นให้กับต้นมะนาวใช้เวลานานวันกว่าดินจะแห้ง หรือเลือกใช้หลักการ “ฝนทิ้งช่วง” ในแต่ละปีช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน ของทุกปี จะมีช่วงเวลาที่ฝนทิ้งช่วง ในการผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ ถ้าฝนไม่ตกติดต่อกัน 3-4 วัน ดินในวงบ่อจะเริ่มแห้ง ใบมะนาวจะเริ่มเหี่ยว หลังจากนั้นฉีดกระตุ้นให้ต้นมะนาวออกดอกและติดผลได้
ผลิตมะนาวฤดูแล้งในวงบ่อซีเมนต์ 2 รุ่น ต่อปี
ในช่วงเริ่มแรกของการบังคับมะนาวฤดูแล้งจะทำให้ต้นมะนาวออกดอกเพียงรุ่นเดียวคือ ช่วงเดือนตุลาคมและไปเก็บผลผลิตในช่วงเดือนเมษายนเท่านั้น ทำให้จะต้องคอยปลิดดอกมะนาวทิ้งตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเรื่อยมาจนถึงเดือนสิงหาคม-กันยายน แต่ช่วงเวลา 3-4 ปีที่ผ่านมาสภาวะตลาดมะนาวผลผลิตจะเริ่มมีราคาดีตั้งแต่เดือนมกราคมเรื่อยไปจนถึงเดือนเมษายน จึงปล่อยให้มะนาวให้ผลผลิต 2 รุ่น คือมีผลผลิตขายในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์รุ่นหนึ่ง (บังคับให้ต้นออกดอกในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม) และมีผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนอีกรุ่นหนึ่ง (บังคับให้ออกดอกในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม) พอเข้าสู่เดือนพฤษภาคมของทุกปีราคามะนาวจะถูกลง จะตัดแต่งกิ่งมะนาวในช่วงเวลานี้ พร้อมทั้งปลิดผลมะนาวที่ติดอยู่บนต้นทิ้งให้หมด
ตัดแต่งกิ่งมะนาวในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี
ตัดแต่งกิ่งมะนาวในวงบ่อซีเมนต์อย่างหนัก ทุกๆ 3 ปี โดยจะเริ่มตัดแต่งกิ่งและปลิดผลทิ้งทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม ในช่วงปีที่ 1-2 จะตัดแต่งบ้างแต่ไม่มากนัก จะมาตัดแต่งหนักเมื่อต้นมีอายุประมาณ 3 ปี ซึ่งในช่วงนั้นมักจะพบว่าต้นมะนาวเริ่มโทรม มีกิ่งแห้งเป็นจำนวนมาก การตัดแต่งกิ่งมีผลทำให้ต้นมะนาวแตกกิ่งออกมาใหม่และได้ผลผลิตมะนาวที่มีคุณภาพ หลังจากตัดแต่งกิ่งเสร็จในเดือนพฤษภาคม ช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เป็นช่วงบำรุงต้นและสะสมอาหารเพื่อจะกระตุ้นการออกดอกรุ่นแรกในเดือนสิงหาคม
เทคนิคการเปิดตาดอก
เมื่อใบมะนาวเหี่ยวและเริ่มร่วงหรือเหลือใบยอดเพียง 1 คืบ จะเปิดตาดอกโดยใช้ปุ๋ยเคมีสูตรที่มีตัวกลางสูง เช่น สูตร 15-30-15 หรือ 8-24-24 อัตรา 1 กำมือ ใส่ให้กับต้นมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ รดน้ำจนเห็นว่าปุ๋ยละลายจนหมด (ช่วงการให้ปุ๋ยนี้ไม่แนะนำให้เปิดน้ำด้วยหัวสปริงเกลอร์ ควรจะให้น้ำด้วยสายยางจะดีกว่า) และยังได้แนะนำว่าควรฉีดพ่นด้วยปุ๋ยทางใบ สูตร 0-52-34 อัตรา 100 กรัม ต่อน้ำ 1 ปี๊บ (20 ลิตร) ฉีดพ่นต่อเนื่องทุก 5-7 วัน หลังจากนั้นต้นมะนาวจะเริ่มออกดอกและติดผลไปแก่ในช่วงฤดูแล้ง
การทำมะนาวนอกฤดู
การบังคับมะนาวนอกฤดูในวงบ่อซีเมนต์
1. การให้น้ำระบบมินิสปริงเกอร์ ให้น้ำเช้า – เย็น
2. มะนาวจะราคาแพงที่สุดคือช่วงเดือน มีนาคม – เมษายน ของทุกปี ดังนั้นเมื่อเก็บผลผลิตหมดในเดือน พฤษภาคม ให้รีบดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
ตัดแต่งกิ่ง เด็ดผลที่เหลือบนต้นออก เพื่อบำรุงต้น เร่งการสร้างยอดใหม่ ใบใหม่โดย ผลมะนาวที่คุณภาพดีที่สุดคือผลที่เกิดจากยอดใหม่ ผลที่เกิดจากกิ่งเก่าคุณภาพจะด้อยลงมา ผลที่คุณภาพต่ำสุดคือผลที่เกิดติดกิ่ง หลังตัดแต่งกิ่งเสร็จใช้ปุ๋ยเคมี 15 – 15 – 15 ใส่หนึ่งกำมือต่อวง หากไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ต้นจะไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าที่ควร และพบอาการผลเหลืองที่ไม่ได้เกิดจากอาการม้านแดดมากกว่าปกติ เนื่องจากการให้ผลผลิตในปีที่ผ่านมา ต้นมะนาวใช้ธาตุอาหารในการเลี้ยงลูกในปริมาณที่มาก เพิ่มวัสดุปลูกในวงบ่อเนื่องจากในแต่ละปีวัสดุปลูกจะยุบลง เพิ่มกาบมะพร้าวบริเวณโคนต้น เนื่องจากาบ มะพร้าวผุพังไปบ้างในปีที่ผ่านมา กาบมะพร้าวเป็นวัสดุที่ช่วยเก็บรักษาความชื้นได้อย่างดี และยังเป็นวัสดุที่ช่วยเก็บรักษาปุ๋ยที่จ่ายมาทางระบบน้ำก่อนจะค่อย ๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารให้ต้นมะนาวใช้ ป้องกันการสูญเสียธาตุอาหารอันเกิดจากการไหลบ่า หรือการระเหย
การให้ปุ๋ยชีวภาพซึ่งได้จากการหมักหอยเชอรี่30 กก. เศษผลไม้ 10 กก. กากน้ำตาล 10 กก. เชื้อพด. 2 จำนวน 25 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร สูตรนี้สามารถใช้ฉีดพ่นทางใบ ในอัตรา 20 – 25 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรได้ ในส่วนของการให้ทางระบบน้ำนั้น เทคนิคคือใช้ปุ๋ยชีวภาพในอัตรา 5 ลิตร ต่อน้ำ 1,250 ลิตร ให้ทุก 5 – 7 วัน โดยในการให้จะให้ครั้งละ 3 – 5 นาทีเพื่อให้กาบมะพร้าวบริเวณโคนต้นชุ่มก็พอ หลังจากนั้นก็ให้น้ำตาม รอบปกติ น้ำจะ ค่อย ๆ ละลายธาตุอาหารลงไปให้ต้นมะนาวใช้ เป็นการจัดการที่ประหยัดปุ๋ย ใช้ปุ๋ยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ในระยะนี้ต้องรักษาใบและยอดให้ดี เนื่องจากมีโรค แมลงที่สำคัญเข้าทำลายในระยะยอดอ่อนถึงเพสลาดคือ เพลี้ยไฟ และโรคแคงเกอร์ ในเรื่องสารเคมีให้แนวคิดว่าบางระยะยังต้องมีการใช้อยู่ แต่ต้องเลือกใช้ในระยะที่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค คือใช้ในระยะก่อนเก็บเกี่ยวไม่น้อยกว่า 2 เดือน
หลักการใช้สารเคมีในแปลงมะนาว นอกจากเพลี้ยไฟ โรคแคงเกอร์แล้วยังมีโรคและศัตรูอื่น ๆ อีก เช่น หนอนชอนใบ หนอนกัดกินใบ แมลงค่อม โรคยางไหล โรคราเข้าขั้ว การเลือกใช้ชนิดของสารเคมีและระยะที่ใช้จึงมีความจำเป็น หากอยู่ในระยะที่ใช้สารเคมีได้ เพลี้ยไฟ และหนอนชอนใบมีสารเคมีที่เลือกใช้ในการป้องกันกำจัดคือ อะบาแม็กติน อัตรา 3 – 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ( ทั้งนี้อัตราการใช้แล้วแต่ความเข้มข้นของแต่ละบริษัทที่ผลิต ) หากพบการระบาดมากจะใช้สาร อิมิดาคลอพริด อัตรา 3 – 5 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร แมลงค่อมหรือด้วงปีกแข็งใช้สารคาร์โบซัลแฟน อัตรา 20 – 30 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไซเปอร์เมทริน อัตรา 5 – 10 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร โรคราเข้าขั้วใช้สารป้องกันกำจัดเชื้อราแมนโคเซ็บ อัตรา 20 – 30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือคาร์เบ็นดาซิม อัตรา 10 – 20 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร ความถี่ในการฉีดพ่น ทุก 7 – 15 วัน หรือแล้วแต่สภาพการระบาดของโรคแมลง นอกเหนือจากระยะนี้แล้ว 2 เดือนก่อนเก็บเกี่ยว ควรเลือกใช้น้ำหมักชีวภาพที่มีฤทธิ์ไล่ และกำจัดแมลง โดยใช้น้ำหมักที่หมักจากสมุนไพรที่ มีรสเผ็ด ขม เหม็น เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด บอระเพ็ด สะเดา ใช้สมุนไพรดังกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่ง 30 กก. กากน้ำตาล 10 กก. พด. 7 จำนวน 25 กรัม ต่อน้ำ 30 ลิตร หมัก 20 วัน นำมาฉีดพ่นในอัตรา 25 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตรทุก 7 – 15 วัน
เนื่องจากมะนาว มีอายุ ประมาณ 5 เดือนสามารถเก็บขายได้ในเดือนที่ 6 การวางแผนการบังคับให้ออกนอกฤดู คือต้องทำให้ออกดอก เดือนตุลาคม เดือนกันยายนต้องงดปุ๋ย งดน้ำ จากประสบการณ์จะเลือกใช้จังหวะฝนทิ้งช่วงประมาณ 7 – 15 วัน เป็นการงดน้ำไปในตัว เนื่องจากมะนาวแปลงนี้ 600 วง การจัดการเพียงคนเดียวจึงไม่สะดวกที่จะเลือกใช้พลาสติกคลุม เพราะพลาสติกก่อให้เกิดไอน้ำเกาะบริเวณผิวด้านในพลาสติก ลดความชื้นในดินยาก หากจะให้ได้ผลดี ในวันที่แดดออกต้องแกะพลาสติกออกให้น้ำระเหย หากฝนตกต้องคลุมพลาสติก เป็นการจัดการที่ยากในกรณีที่ไม่มีแรงงานเพียงพอ
งดน้ำจนใบเหี่ยว สลด และหลุดร่วงประมาณ 50 – 60 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นให้น้ำตามปกติ ปุ๋ยเคมีที่ใช้เพื่อเปิดตาดอกในระยะนี้คือ ปุ๋ยที่มีตัวกลางสูงเช่น 12–24–12 หรือ 15 – 30 -15 ปริมาณ 1 กำมือต่อวงรดน้ำให้ชุ่มเพื่อให้ปุ๋ยละลาย หลังติดดอกแล้วให้น้ำตามปกติเช้า – เย็น เวลาละ 5-10 นาที ปุ๋ยทางดินที่คุณพิชัยใช้ทดแทนปุ๋ยเคมี ตลอดฤดูการผลิตคือปุ๋ยอินทรีย์ที่หมักจากเศษพืช มูลสัตว์ กากหอยเชอรี่ เป็นการลดต้นทุนการผลิต ลดภาวะดินเสื่อมโทรม ปรับสภาพดินให้สมบูรณ์ อย่างยั่งยืน
ขอบคุณข้อมูลจาก www.manowsi.com (สวนมะนาวเมืองศรี :สนใจพันธุ์มะนาวสั่งที่นี่เลยครับ),ภาพประกอบจาก greentoplant.blogspot.com
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558
การตัดแต่งสำหรับมะนาวนอกฤดู อีโมติคอน kiki
การตัดแต่ง (Pruning) เป็นการดำเนินการควบคู่ไปกับการจัดทรงพุ่ม (Training) ซึ่งเป็นองค์ประกอบ 2 ประการของการจัดการทรงพุ่ม (Canopy Management) ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการควบคู่กันไปตั้งแมะนาวอายุยังน้อยเพื่อให้ต้นมะนาวมีโครงสร้างทรงพุ่มที่เหมาะสมต่อการให้ผลผลิต
การตัดแต่งเป็นการปฏิบัติที่มีเป้าหมายหลักเพื่อควบคุมการเจริญเติบโต (to direct or control growth) และเพื่อกระตุ้นการติดดอกออกผล (to encourage flower and fruit production) ของต้นมะนาวเพื่อให้ได้มาซึ่งผลผลิตที่ดีทั้งในแง่คุณภาพและปริมาณในโอกาสต่อไป ในทางกลับกัน ต้นมะนาวที่ไม่ได้รับการตัดแต่งจะสูญเสียโอกาสในการติดดอกออกผลไปอย่างน่าเสียดาย
โดยทั่วไปการตัดแต่งต้นมะนาวเพื่อทำมะนาวนอกฤดูจะมีการปฏิบัติใน 2 ลักษณะ ประกอบด้วย
1. Thinningนอกจากนั้น การลดปริมาณกิ่งและการกระจายกิ่งของทรงพุ่มทั่วทั้งต้นจะช่วยลดการแก่งแย่งอาหารกันเอง กิ่งที่คงไว้จึงอยู่ในสภาพสมบูรณ์และแข็งแรงสามารถรองรับน้ำหนักผลผลิตได้อย่างสมดุล ลดค่าใช้จ่ายและแรงงานในการทำคอกหรือไม้ค้ำลงได้เป็นจำนวนมาก ดังภาพตัวอย่างทรงพุ่มแบบกึ่งเปิดกึ่งปิดแกนกลาง (Modified central leader type) โดยการเปิดพื้นที่ทรงพุ่มด้านบนให้โปร่งโล่ง หรือเรียกว่า "เปิดกะโหลก" เป็นรูปแบบทรงพุ่มที่เหมาะสมกับมะนาวเป็นอย่างยิ่งแม้ว่าการตัดแต่งประจำปีจะไม่มีกำหนดตายตัว แต่ก็มีคำแนะนำคร่าวๆว่า จำนวนกิ่งที่ตัดแต่งออกไปไม่ควรเกิน 15% ของจำนวนกิ่งทั้งหมดในทรงพุ่ม อย่างไรก็ตาม ปริมาณการตัดแต่งควรพิจารณาจากสภาพโดยรวมของทรงพุ่มให้มีจำนวนกิ่งและใบมากเพียงพอที่จะใช้ในการสังเคราะห์แสงสร้างอาหารด้วย
2. Pinching
การตัดยอดหรือเล็มยอดจะทำให้เราได้ยอดใหม่เพิ่มขึ้นในแต่ละรอบการตัดแต่งกิ่งละประมาณ 3-4 ยอด ซึ่งจะมีจำนวนมากพอให้เราเลือกได้ว่า ยอดไหนสมควรจะคงไว้หรือตัดแต่งออกไป สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การเล็มยอดยังเป็นการเพิ่มพื้นที่ติดดอกออกผลซึ่งจะเป็นตัวกำหนดปริมาณผลผลิตในอนาคตซึ่งจะมีส่วนช่วยในการวางแผนการจัดการช่วงระยะให้ผลผลิตและเก็บเกี่ยว นอกจากนั้น การเล็มยอดยังทำให้เกิดการกระจายกิ่งแขนงออกไปทำให้ผลผลิตกระจายสม่ำเสมอทั่วทั้งต้นไม่แออัดอยู่ในกิ่งหรือทรงพุ่มด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งส่งผลให้ผลมีขนาดมีคุณภาพไล่เลี่ยกันทั้งต้น เพิ่มความสะดวกในการเก็บเกี่ยวและคัดแยกขนาดเพื่อส่งจำหน่ายมากยิ่งขึ้น แม้ว่า การคำนวณระยะความยาวกิ่งที่เหมาะสมในการตัดแต่งออกไปไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนตายตัว เนื่องจากขึ้นอยู่กับการจัโครงสร้างหรือจัดทรงพุ่ม (Training) และการตัดแต่งตามที่ได้วางแผนมาตั้งแต่แรกปลูก แต่หลักโดยทั่วไปของการตัดแต่งประจำปีไม่ควรตักแต่งเกิน 1 ใน 3 ของความยาววัดจากปลายกิ่ง หากตัดแต่งลึกมากกว่านี้หรือที่มักเรียกว่า การทำสาว (Rejuvenate pruning) จะก่อให้เกิดกิ่งกระโดงและกิ่งน้ำค้างซึ่งจะทำให้ต้นมะนาวสูญเสียโอกาสในการออกดอกไป หรืออาจจะยึดหลักง่ายๆว่า ปีที่ผ่านมาทรงพุ่มมีขนาดเพิ่มขึ้นเท่าใด ก็จะตัดแต่งออกไปเท่านั้นในปีนี้ เป็นต้น
พึงระลึกว่า
1. การจัดการทรงพุ่มมีเป้าหมายหลักเพื่อให้ใบทุกใบมีขีดความสามารถในการสังเคราะห์แสงได้มากที่สุด
2.มะนาวมีนิสัยออกดอกที่ปลายยอด และ
3.ดอกที่เกิดจากปลายยอดที่ผลิใหม่เป็นดอกมะนาวที่มีคุณภาพมากที่สุด
ขอขอบคุณภาพประกอบกระทู้จาก สวนมะนาว ชัตติพงษ์
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
มารู้จักปุ๋ยพร้อมทั้งคุณสมบัติของปุ๋ยแต่ละสูตรกันเถอะ !!!
พืชต้องการธาตุอาหาร 16 ชนิด ได้แก่ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี แมงกานิส ทองแดง โบรอน โมลิบดินัม และ คลอรีน
ซึ่งในจำนวนนี้ ออกซิเจน ไฮโดรเจน คาร์บอน พืชได้รับจากน้ำและอาหาร ส่วน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม พืชต้องการในปริมาณมาก เมื่อเทียบกับธาตุอื่นๆ (ซึ่งจัดเป็นธาตุอาหารหลัก) และในดินมักมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืชและการเพาะปลูก ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มธาตุอาหารเหล่านี้ ซึ่งเราเรียกว่าการให้ปุ๋ย
การให้ปุ๋ยก็มีอยู่ 2 ชนิดคือ การให้ปุ๋ยทางดินและการให้ปุ๋ยทางใบ
1. ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีมีหลาสูตร ดังนี้
- ปุ๋ยสูตร 46-0-0 ยูเรีย ให้ไนโตรเจนสูง เร่งต้น และใบใส่ทางดิน
- ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ปุ๋ยสูตรเสมอ บำรุงทุกอย่าง ต้น ดอก ผล ใส่ทางดิน
- ปุ๋ยสูตร 12-24-12 ปุ๋ยมีฟอสฟอรัสสูง เร่งดอก ใส่ทางดิน
- ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ปุ๋ยมีฟอสฟอรัส และโปรแตสเซี่ยมสูง เร่งดอก และผลรสชาดดีใส่ทางดิน
- ปุ๋ยสูตร 15-5-5 ปุ๋ยน้ำไนโตรเจนสูง เร่งต้น และใบ ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 10-10-10 ปุ๋ยน้ำสูตรเสมอ บำรุงทุกอย่าง ต้น ดอก ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 9-18-9 ปุ๋ยน้ำมีฟอสฟอรัสสูง เร่งดอก ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 3-18-18 ปุ๋ยน้ำมีฟอสฟอรัส และโปรแตสเซียมสูง เร่งดอกและผลรสชาดดี ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 30-20-10 ปุ๋ยเกร็ดมีไนโตรเจนสูง เร่งต้น และใบ ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 10-52-17 ปุ๋ยเกร็ดมีฟอสฟอรัสสูง เร่งดอก ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 21-21-21 ปุ๋ยเกร็ดสูตรเสมอ บำรุงทุกอย่าง ต้น ดอก ผลฉีดพ่นทางใบ เ
- ปุ๋ยสูตร13-27-27 ปุ๋ยเกร็ดมีฟอสฟอรัส และโปรแตสเซียมสูง เร่งดอก และผลรสชาดดี ฉีดพ่นทางใบ
ข้อแนะนำ : ควรอ่านคำแนะนำเอกสารกำกับปุ๋ยเคมีให้เข้าใจเสียก่อน หากไม่เข้าใจ หรือมีปัญหาสงสัยให้ ปรึกษาเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร หรือนักวิชาการเกษตรประจำสถานีทดลอง หรือสถาบันวิจัยในท้องถิ่น เพื่อให้การใช้ปุ๋ยเคมี มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นก่อนใส่ปุ๋ยเคมี ควรกำจัดวัชพืชให้หมดเสียก่อน เพื่อป้องกันมิให้วัชพืชมาใช้ปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไปควรใส่ปุ๋ยเคมีเมื่อดินมีความชื้นอยู่ เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีควรกลบดิน ในกรณีที่มีการให้น้ำ ควรให้น้ำ น้อย ๆ ก่อน แล้วจึงเพิ่มให้มากขึ้น ถ้าให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรใส่ปุ๋ยเคมีแก่พืชในช่วงมีแสงแดดจัด ฝนไม่ตกควรหมั่นดูแลป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูพืชอยู่เสมอควรเก็บปุ๋ยเคมีในภาชนะที่ปิดมิดชิด อย่าให้ถูกความร้อน แสงแดด และฝน
2. ปุ๋ยอินทรีย์ จุลินทรีย์
- ปุ๋ยคอก มูลวัวแห้ง ใส่เพื่อบำรุงดิน มีธาตุอาหารพอสมควร
- ปุ๋ยมูลไก่ มูลไก่แห้งอัดเม็ด ใส่เพื่อบำรุงดิน มีธาตุอาหารพอสมควร
- ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยทำจากวัสดุธรรมชาติ ใส่เพื่อบำรุงดิน มีธาตุอาหารพอสมควร
- จุลินทรีย์ เป็นเชื้อจุลินทรีย์ ย่อยสลายปุ๋ย และอินทรีย์สาร ให้เป็นประโยชน์แก่พืช และทำลายเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคพืช
- กากน้ำตาล อาหารเริ่มต้นของเชื้อจุลินทรีย์ ใช้หมักจุลินทรีย์ให้เพิ่มจำนวนมาก
อ้างอิง : สวนมะนาว เคียงดาว
การให้ปุ๋ยก็มีอยู่ 2 ชนิดคือ การให้ปุ๋ยทางดินและการให้ปุ๋ยทางใบ
1. ปุ๋ยเคมี ปุ๋ยเคมีมีหลาสูตร ดังนี้
- ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ปุ๋ยสูตรเสมอ บำรุงทุกอย่าง ต้น ดอก ผล ใส่ทางดิน
- ปุ๋ยสูตร 12-24-12 ปุ๋ยมีฟอสฟอรัสสูง เร่งดอก ใส่ทางดิน
- ปุ๋ยสูตร 8-24-24 ปุ๋ยมีฟอสฟอรัส และโปรแตสเซี่ยมสูง เร่งดอก และผลรสชาดดีใส่ทางดิน
- ปุ๋ยสูตร 15-5-5 ปุ๋ยน้ำไนโตรเจนสูง เร่งต้น และใบ ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 10-10-10 ปุ๋ยน้ำสูตรเสมอ บำรุงทุกอย่าง ต้น ดอก ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 9-18-9 ปุ๋ยน้ำมีฟอสฟอรัสสูง เร่งดอก ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 3-18-18 ปุ๋ยน้ำมีฟอสฟอรัส และโปรแตสเซียมสูง เร่งดอกและผลรสชาดดี ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 30-20-10 ปุ๋ยเกร็ดมีไนโตรเจนสูง เร่งต้น และใบ ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 10-52-17 ปุ๋ยเกร็ดมีฟอสฟอรัสสูง เร่งดอก ฉีดพ่นทางใบ
- ปุ๋ยสูตร 21-21-21 ปุ๋ยเกร็ดสูตรเสมอ บำรุงทุกอย่าง ต้น ดอก ผลฉีดพ่นทางใบ เ
- ปุ๋ยสูตร13-27-27 ปุ๋ยเกร็ดมีฟอสฟอรัส และโปรแตสเซียมสูง เร่งดอก และผลรสชาดดี ฉีดพ่นทางใบ
ข้อแนะนำ : ควรอ่านคำแนะนำเอกสารกำกับปุ๋ยเคมีให้เข้าใจเสียก่อน หากไม่เข้าใจ หรือมีปัญหาสงสัยให้ ปรึกษาเจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตร หรือนักวิชาการเกษตรประจำสถานีทดลอง หรือสถาบันวิจัยในท้องถิ่น เพื่อให้การใช้ปุ๋ยเคมี มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นก่อนใส่ปุ๋ยเคมี ควรกำจัดวัชพืชให้หมดเสียก่อน เพื่อป้องกันมิให้วัชพืชมาใช้ปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไปควรใส่ปุ๋ยเคมีเมื่อดินมีความชื้นอยู่ เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีควรกลบดิน ในกรณีที่มีการให้น้ำ ควรให้น้ำ น้อย ๆ ก่อน แล้วจึงเพิ่มให้มากขึ้น ถ้าให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ควรใส่ปุ๋ยเคมีแก่พืชในช่วงมีแสงแดดจัด ฝนไม่ตกควรหมั่นดูแลป้องกันกำจัดโรคแมลงศัตรูพืชอยู่เสมอควรเก็บปุ๋ยเคมีในภาชนะที่ปิดมิดชิด อย่าให้ถูกความร้อน แสงแดด และฝน
2. ปุ๋ยอินทรีย์ จุลินทรีย์
- ปุ๋ยมูลไก่ มูลไก่แห้งอัดเม็ด ใส่เพื่อบำรุงดิน มีธาตุอาหารพอสมควร
- ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยทำจากวัสดุธรรมชาติ ใส่เพื่อบำรุงดิน มีธาตุอาหารพอสมควร
- จุลินทรีย์ เป็นเชื้อจุลินทรีย์ ย่อยสลายปุ๋ย และอินทรีย์สาร ให้เป็นประโยชน์แก่พืช และทำลายเชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคพืช
- กากน้ำตาล อาหารเริ่มต้นของเชื้อจุลินทรีย์ ใช้หมักจุลินทรีย์ให้เพิ่มจำนวนมาก
อ้างอิง : สวนมะนาว เคียงดาว
วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
การเปิดตาดอกมะนาวแบบชีวภาพ
สำหรับเกษตรกรที่ปลูกมะนาวและมีความประสงค์ทำมะนาวนอกฤดูเพื่อให้ทันขายช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน นั้น การเปิดตาดอกมะนาวควรทำในช่วงเดือนตุลาคม ท่านต้องเตรียมการล่วงหน้าเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสช่วงมะนาวแพง และในช่วงนี้บางสวนอาจจะประสบกับปัญหาเปิดตาดอกแล้วมะนาวแตกใบอ่อนทำให้พลาดการออกดอกในเดือนที่ต้องการ ฉะนั้นผู้ปลูกมะนาวจึงต้องมีการเตรียมการที่ดีจึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ
ขั้นตอนที่ 1 นำฮอร์โมนไข่ที่หมักไว้จนครบ 10-15 วัน มาราดรดที่บริเวณทรงพุ่มมะนาวแบบทั่วทรงพุ่ม โดยสเปรย์ให้กระจายจนเปียกชุ่มโชก โดยใช้ฮอร์โมนไข่ 2 ลิตร ผสมกับน้ำ 200 ลิตร ทำกัน 2-3 ครั้งในช่วงก่อนการเปิดตาดอกหรือในช่วงเปิดตาดอกก็ได้ ในกรณีที่ ฉีดพ่นทางใบแล้วมะนาวสภาพต้นไม่เหลืองใบไม่ร่วงหรือยังไม่ยอมแตกตาดอกออกมาตามข้อตาใบ ให้ทำการราดรดฮอร์โมนไข่หลาย ๆ ครั้งเพื่อบังคับให้มะนาวออกดอกภายในเดือนตุลาคมนี้ให้
ขั้นตอนที่ 2 ฉีดพ่นสูตรเปิดตาดอกทางใบข้างต้นอย่างน้อย 3 วัน/ครั้ง หรือทุกวัน จ้าองสวนอาจจะเหนื่อยนิดหนึ่งที่ต้องฉีดพ่นสูตรเปิดตาดอกบ่อยครั้งหรือทุกวัน ซึ่งจำเป็นมากที่จะต้องยอมเหนื่อย เพราะหากพลาดการออกดอกเดือนนี้ก็จะต้องรอปีหน้า
การฉีดพ่นสูตรเปิดตาดอกทางใบจะฉีดทั้งเดือนจะมากหรือน้อยกระทั่งมะนาวออกดอกนั้นขึ้นอยู่กับสภาพต้นมะนาว พื้นฐานการเตรียมต้นตั้งแต่เริ่มแรก (เดือนมิถุนายน-สิงหาคม) การใช้ปุ๋ยไนโตรเจนเพื่อเร่งความสมบูรณ์ของต้นจนไนโตรเจนตกค้างในดินเป็นจำนวนมาก สภาพฝนตกมามีปริมาณมากน้อยแค่ไหน หากมีปริมาณไนโตรเจนในดินมากฝนตกบ่อย ก็จะทำให้ต้องฉีดพ่นสูตรกระตุ้นตาดอกมากครั้งขึ้นเป็นเงาตามตัวครับ
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม การฉีดพ่นสูตรเปิดตาดอกทางใบอาจจะทำให้เกิดโรคแคงเกอร์ได้ง่าย จึงแนะนำให้สมาชิกหมักบีเอส-พลายแก้วผสมร่วมกับสูตรเปิดตาดอกด้วย เพื่อป้องกันและกำจัดแคงเกอร์ที่ระบาดในช่วงหน้าฝนและการเปิดตาดอก โดยอาจจะทำการหมักและฉีดพ่นสัก 3-5 วันครั้งไม่ต้องหมักทุกครั้งที่ฉีดพ่นสูตรเปิดตาดอก
การเตรียมฮอร์โมนไข่
- ขั้นตอนการเตรียมฮอร์โมนไข่ ใช้ไข่ไก่ 5 กิโลกรัม, กากน้ำตาล 5 ลิตร, ลูกแป้งข้าวหมาก 1 ลูก, บีทาเก้น 1 ขวด
ขั้นตอนการทำ เมื่อได้วัตถุดิบครบแล้วขั้นตอนแรกนำไข่ไก่มาตอกใส่ถังหมัก แยกเปลือกไข่ออก เมื่อตอกไข่จนครบ 5 กิโลกรัมแล้ว ให้นำเปลือกที่เราแยกไว้ไปโขลกหรือบดให้ละเอียดเทใส่รวมกับไข่ที่เราตอกใส่ไว้ในถัง จากนั้นใส่กากน้ำตาลลงไป 5 ลิตร อย่าเพิ่งคน บดลูกแป้งข้าวหมากให้ ละเอียดเทใส่ภาชนะ แล้วตามด้วยบีทาเก้น 1 ขวด จากนั้นคนให้เข้ากัน แล้วปิดปากถังโดยใช้ถุงพลาสติกคลุมแล้วมัดปากถัง ใช้ไม้แหลมเจาะรูปที่ถุงพลาสติกหลาย ๆ รูเพื่อให้ก๊าซที่เกิดจากการย่อยของจุลินทรีย์ผ่านออกมา ห้ามปิดปากถังจนสนิทไม่มีอากาศเข้าออกโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ถังหมักบวม และระเบิดได้ครับ เมื่อทำตามขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้วคราวนี้ต่อไปก็แค่ต้องเปิดถังหมักคนทุกวัน ทำอย่างนี้ไปประมาณ 10-15 วันฮอร์โมนไข่ของเราก็พร้อมที่จะนำไปสู่การใช้เปิดตาดอกแล้วละครับ
- ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบในการฉีดเปิดตาดอกกระตุ้นทางใบ โดยสูตรที่ต้องเตรียมมีดังนี้
- น้ำเปล่า 200 ลิตร
- ซิลิโคเทรซ 50 กรัม
- ไวตาไลเซอร์ 50 กรัม
- ไคโตซาน MT 50 ซีซี.
- ฮอร์โมนไข่ (สูตรที่ให้ทำข้างต้น) 200 ซีซี.
- น้ำมะพร้าวอ่อน 1,000 ซีซี.
- น้ำตาลทราย 500 กรัม
นำส่วนผสมต่าง ๆ เทลงในน้ำ 200 ลิตร แล้วคนให้ละลายจนหมด หากสมาชิกท่านใดไม่ได้ใช้ถัง 200 ลิตร อาจจะใช้ถัง 20 ลิตร หรือ 100 ลิตร ก็ให้ลดอัตราการผสมตามสัดส่วนลงมาครับ ในการผสมสูตรเปิดตาดอกฉีดพ่นให้เทส่วนผสมต่าง ๆ รวมกันในน้ำ 200 ลิตรแล้วคนให้ละลายและฉีดพ่นต่อไป
ขอบคุณภาพเากเวปไซต์ Google.com
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ประวัติย่อ ๆ ของมะนาวแป้นสายพันธุ์ต่าง ๆ
แป้นวโรชา
เจ้าของสายพันธุ์กล่าวว่า เป็นมะนาวสายพันธุที่เกิดขึ้นโดยการผสมข้ามพันธุ์ของสายพันธุ์แป้นรำไพกับแป้นพิจิตร จึงได้ตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นวิเศษ” โดยระหว่างที่ปลูกมะนาวแป้นพิจิตร ก็ยังปลูกมะนาวแป้นรำไพแซมอีกด้วย แต่แล้วจู่ ๆ ก็เห็นต้นกล้ามะนาวที่เกิดจากเมล็ดของผลร่วงใต้ต้นมะนาว จึงนำมาเลี้ยงจนกระทั่งออกผล "อายุเพียง 2 เดือนก็ให้ผลแล้ว มีน้ำเต็มลูก ยิ่งผลโตเต็มที่ก็ยิ่งให้น้ำเยอะและมีกลิ่นหอมด้วย จุดเด่นพันธุ์นี้มีขั้วที่แข็งแรง ไม่ร่วงง่าย กลายเป็นมะนาวสายพันธุ์ดีที่ได้มาแบบบังเอิญ"
ต่อมาจากนั้นไม่นานก็ได้พบมะนาวสายพันธุ์ใหม่อีกครั้งที่กลายพันธุ์มาจากแป้นวิเศษและตั้งชื่อว่า "แป้นวโรชา" มาจากชื่อเจ้าของสวน ถือเป็นสุดยอดของมะนาวพันธุ์ใหม่ โดยผ่านการกระชากสายพันธุ์ และกรรมวิธีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมีในสูตรที่ตนผสมขึ้นมาเอง ซึ่งมะนาวพันธุ์นี้มีจุดเด่นให้ผลตลอดทั้งปี ขนาดผลใหญ่กว่าแป้นวิเศษเล็กน้อย ให้น้ำเยอะกว่า ผิวเกลี้ยง เป็นมะนาวไม่มีเมล็ดหรือมีก็เล็กและลีบ ไม่ต้องคลึงก่อนบีบน้ำ ที่สำคัญทนทานต่อโรคแคงเกอร์ได้ดีกว่ามะนาวทั่วไป
เจ้าของสายพันธุ์เล่าว่า "ต้นตอเดิมแป้นวโรชาก็มาจากแป้นวิเศษนั่นแหละ เพียงแต่ปรับเปลี่ยนสูตรการให้ปุ๋ยจากเคมีเป็นอินทรีย์ แต่เป็นสูตรเฉพาะที่ผมผสมขึ้นมาเอง ปกติมะนาวทั่ว ๆ ไปจะให้ผลบริเวณทรงพุ่ม แต่แป้นวโรชาจะออกดอกให้ผลตั้งแต่โคนต้นยันปลายกิ่ง และให้ผลตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องไปดูแลอะไรมาก โดยเฉพาะโรคแคงเกอร์ พันธุนี้จะไม่เจอเลย"
แป้นดกพิเศษ
มะนาวชนิดนี้ มีข้อแตกต่างและข้อดีกว่ามะนาวแป้นสายพันธุ์ดั้งเดิมคือเวลาติดผลหลังปลูกจะติดผลเป็นพวงอย่างน้อย 2-3 ผล ต่อพวง และติดผลดกมากโดยธรรมชาติไม่ต้องบำรุงปุ๋ยมากนัก ที่สำคัญจะออกผลไม่ขาดต้นให้ผู้ปลูกเก็บรับประทานได้แบบต่อเนื่องตลอดทั้งปี จึงทำให้ “มะนาวแป้นดกพิเศษ” กำลังเป็นที่นิยมของผู้ปลูกอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
มะนาวแป้นดกพิเศษ มีชื่อวิทยาศาสตร์เหมือนกับมะนาวทั่วไป คือ LIME, CITRUS AURANTIFOLIA (CHRISTM–PANZ) SWING อยู่ในวงศ์ RUTACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้พุ่มสูง 2 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียว ออกเรียงสลับ รูปไข่หรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลมโคนมน ใบค่อนข้างมีขนาดใหญ่กว่าใบของมะนาวทั่วไป เนื้อใบหนา มีจุดน้ำมันกระจาย ก้านใบมีครีบเล็ก ผิวใบเรียบเป็นมัน สีเขียวสด ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆหรือเป็นช่อที่ซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาว เมื่อบานกลีบมักม้วนลง มีเกสรสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอม กลีบดอกร่วงง่าย “ผล” กลมแป้นเล็กน้อย ขนาดผลใหญ่กว่าผลมะนาวแป้นสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างชัดเจน เปลือกผลบาง ผิวผลเรียบ สีเขียวเป็นมัน มีเมล็ดน้อย ให้น้ำเยอะ รสเปรี้ยวจัด มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมีข้อแตกต่างจากมะนาวแป้นพันธุ์ดั้งเดิมคือ จะติดผลเป็นพวง ติดผลดก และติดผลตลอดปีตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง เสียบยอด และทาบกิ่ง
แป้นรำไพ
คุณลักษณะของมะนาวแป้นรำไพ หากมองด้วยสายตาแล้วนั้นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนคือใบ จะเล็กปานกลางสีจะออกมาทางเขียวอ่อนๆ หนามและข้อจะสั้น ฉะนั้นเวลาแตกยอดใหม่จะได้ช่วงประมาณ 1 คืบ แต่จะแตกออกมาเป็นลักษณะทวีคูณ ยิ่งโตทรงพุ่มจะยิ่งแผ่กว่างขึ้นจุดเด่นของมะนาวแป้นรำไพที่ไม่มีมะนาวสายพันธุ์ไหนๆเทียบได้เลยก็คือ ทรงแป้น ผลโตออกลูกดก เปลือกบาง เมล็ดน้อยมากมีแค่
3-4 เมล็ด เท่านั้นเอง ส่วนกลิ่นจะเป็นกลิ่นที่เราคุ้นเคยมากๆหากมีการให้คะแนนผู้เขียนจะให้คะแนน 10 เต็ม 10 เลยทีเดียว ส่วนการจำหน่ายผลผลิตสามารถขายได้ตลอดปี แต่ข้อเสียของมะนาวแป้นรำไพที่มือใหม่หลายคนอาจจะพบเจอคือ จะเป็นโรคได้ง่าย เช่น แคงเกอร์ ยางไหล เป็นต้น ฉะนั้นการดูแลต้องเน้นไปที่การป้องกัน แล้วปัญหานี้จะทุเลาเบาบางหรือหมดไปในที่สุด
มะนาวแป้นพิจิตร1
มะนาวแป้นพิจิตร1 ถือเป็นสายพันธุ์ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนปลูกมะนาว ในวงบ่อซีเมนต์และปลูกลงดิน เดิมมะนาวลูกผสมพันธุ์นี้ ชื่อ“พันธุ์M33” เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างมะนาว พันธุ์แป้น (พันธุ์แม่) ซึ่งคนไทยนิยมบริโภค กับมะนาวพันธุ์น้ำหอม (พันธุ์พ่อ)ที่มี
ความต้านทานโรค แคงเกอร์ โดยศูนย์วิจัย พืชสวนพิจิตรได้ทำการ คัดเลือกและ ผสมพันธุ์เรื่อยมา จนกระทั่งได้มะนาวลูกผสมพันธุ์ดังกล่าว ซึ่งมีการเจริญเติบโตดี
มีทรงต้นโปร่ง ไม่แน่นทึบ หนามมีขนาด 1.5-3 ซม. และมีจุดเด่นที่สามารถต้านทาน โรคแคงเกอร์ สูง ทั้งที่ใบกิ่งและผล โดยที่ใบและผลพบจุดแผลของโรคน้อยกว่า 8% และที่กิ่งมีความต้านทานโรคสูงมาก พบอาการของโรคน้อยกว่า 1%
นอกจากนี้มะนาวพันธุ์พิจิตร1 ยังมีปริมาณดอกสมบูรณ์เพศจำนวนมาก สามารถ ติดผลง่ายและให้ผลผลิตสูง โดยจะให้ผลผลิตหลังปลูก 12-18 เดือน ที่อายุ 3-4 ปี
จะให้ผลผลิตประมาณ 1,500-2,000 กก./ไร่ เมื่ออายุ 5 ปี จะได้ผลผลิตสูง 400-1,000 ผล/ต้น/รุ่น ผลมีลักษณะทรงแป้น ก้นผลเรียบ สีผลเขียวเข้มเป็นมัน
มีกลิ่นหอม น้ำหนักผล 70-100 กรัม เปลือกบาง 0.15 ซม. ให้ปริมาณน้ำคั้น 34% ปริมาตร/น้ำหนัก ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (TSS) 7.5 บริกซ์ มีปริมาณกรดซิตริก 8.8% ปริมาณวิตามินซี 40.5 มก./100 ซีซี
“มะนาวแป้นพิจิตร 1″ ได้ทดลองปลูกจนติดผลแล้ว ปรากฏว่ามีข้อเด่นคือติดผลดกมาก และ ที่สำคัญเป็นมะนาวที่มีความทนทานต่อการถูก “โรคแคงเกอร์” ลงเกาะกินผลได้ดีกว่ามะนาวสายพันธุ์ทั่วไป ผลมีขนาดใหญ่ เปลือกผลค่อนข้างบาง ให้น้ำเยอะ มีรสเปรี้ยวจัด
นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของเกษตรกรทั่ว ๆ ไป ผู้เขียนได้รวบรวมสายพันธุ์ที่ตนเองนิยม และหวังว่าท่านผู้อ่านก็คงชื่นชอบแตกต่างกันออกไป เพียงแต่ว่าตลาดค้ามะนาวจะนิยมสายพันธุ์ไหน ก็จะทำให้เกษตรกรหันมานิยมปลูกมะนาวในสายพันธุ์ที่ตลาดต้องการนั่นเอง
ขอขอบพระคุณภาพจากเวปไซต์และเจ้าของภาพทุกท่าน
เจ้าของสายพันธุ์กล่าวว่า เป็นมะนาวสายพันธุที่เกิดขึ้นโดยการผสมข้ามพันธุ์ของสายพันธุ์แป้นรำไพกับแป้นพิจิตร จึงได้ตั้งชื่อว่า “มะนาวแป้นวิเศษ” โดยระหว่างที่ปลูกมะนาวแป้นพิจิตร ก็ยังปลูกมะนาวแป้นรำไพแซมอีกด้วย แต่แล้วจู่ ๆ ก็เห็นต้นกล้ามะนาวที่เกิดจากเมล็ดของผลร่วงใต้ต้นมะนาว จึงนำมาเลี้ยงจนกระทั่งออกผล "อายุเพียง 2 เดือนก็ให้ผลแล้ว มีน้ำเต็มลูก ยิ่งผลโตเต็มที่ก็ยิ่งให้น้ำเยอะและมีกลิ่นหอมด้วย จุดเด่นพันธุ์นี้มีขั้วที่แข็งแรง ไม่ร่วงง่าย กลายเป็นมะนาวสายพันธุ์ดีที่ได้มาแบบบังเอิญ"
เจ้าของสายพันธุ์เล่าว่า "ต้นตอเดิมแป้นวโรชาก็มาจากแป้นวิเศษนั่นแหละ เพียงแต่ปรับเปลี่ยนสูตรการให้ปุ๋ยจากเคมีเป็นอินทรีย์ แต่เป็นสูตรเฉพาะที่ผมผสมขึ้นมาเอง ปกติมะนาวทั่ว ๆ ไปจะให้ผลบริเวณทรงพุ่ม แต่แป้นวโรชาจะออกดอกให้ผลตั้งแต่โคนต้นยันปลายกิ่ง และให้ผลตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องไปดูแลอะไรมาก โดยเฉพาะโรคแคงเกอร์ พันธุนี้จะไม่เจอเลย"
แป้นดกพิเศษ
มะนาวชนิดนี้ มีข้อแตกต่างและข้อดีกว่ามะนาวแป้นสายพันธุ์ดั้งเดิมคือเวลาติดผลหลังปลูกจะติดผลเป็นพวงอย่างน้อย 2-3 ผล ต่อพวง และติดผลดกมากโดยธรรมชาติไม่ต้องบำรุงปุ๋ยมากนัก ที่สำคัญจะออกผลไม่ขาดต้นให้ผู้ปลูกเก็บรับประทานได้แบบต่อเนื่องตลอดทั้งปี จึงทำให้ “มะนาวแป้นดกพิเศษ” กำลังเป็นที่นิยมของผู้ปลูกอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
มะนาวแป้นดกพิเศษ มีชื่อวิทยาศาสตร์เหมือนกับมะนาวทั่วไป คือ LIME, CITRUS AURANTIFOLIA (CHRISTM–PANZ) SWING อยู่ในวงศ์ RUTACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้พุ่มสูง 2 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามใบเป็นใบประกอบชนิดมีใบย่อยใบเดียว ออกเรียงสลับ รูปไข่หรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลมโคนมน ใบค่อนข้างมีขนาดใหญ่กว่าใบของมะนาวทั่วไป เนื้อใบหนา มีจุดน้ำมันกระจาย ก้านใบมีครีบเล็ก ผิวใบเรียบเป็นมัน สีเขียวสด ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆหรือเป็นช่อที่ซอกใบและปลายยอด กลีบดอกเป็นสีขาว เมื่อบานกลีบมักม้วนลง มีเกสรสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอม กลีบดอกร่วงง่าย “ผล” กลมแป้นเล็กน้อย ขนาดผลใหญ่กว่าผลมะนาวแป้นสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างชัดเจน เปลือกผลบาง ผิวผลเรียบ สีเขียวเป็นมัน มีเมล็ดน้อย ให้น้ำเยอะ รสเปรี้ยวจัด มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมีข้อแตกต่างจากมะนาวแป้นพันธุ์ดั้งเดิมคือ จะติดผลเป็นพวง ติดผลดก และติดผลตลอดปีตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง เสียบยอด และทาบกิ่ง
แป้นรำไพ
คุณลักษณะของมะนาวแป้นรำไพ หากมองด้วยสายตาแล้วนั้นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนคือใบ จะเล็กปานกลางสีจะออกมาทางเขียวอ่อนๆ หนามและข้อจะสั้น ฉะนั้นเวลาแตกยอดใหม่จะได้ช่วงประมาณ 1 คืบ แต่จะแตกออกมาเป็นลักษณะทวีคูณ ยิ่งโตทรงพุ่มจะยิ่งแผ่กว่างขึ้นจุดเด่นของมะนาวแป้นรำไพที่ไม่มีมะนาวสายพันธุ์ไหนๆเทียบได้เลยก็คือ ทรงแป้น ผลโตออกลูกดก เปลือกบาง เมล็ดน้อยมากมีแค่
มะนาวแป้นพิจิตร1
มะนาวแป้นพิจิตร1 ถือเป็นสายพันธุ์ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนปลูกมะนาว ในวงบ่อซีเมนต์และปลูกลงดิน เดิมมะนาวลูกผสมพันธุ์นี้ ชื่อ“พันธุ์M33” เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างมะนาว พันธุ์แป้น (พันธุ์แม่) ซึ่งคนไทยนิยมบริโภค กับมะนาวพันธุ์น้ำหอม (พันธุ์พ่อ)ที่มี
ความต้านทานโรค แคงเกอร์ โดยศูนย์วิจัย พืชสวนพิจิตรได้ทำการ คัดเลือกและ ผสมพันธุ์เรื่อยมา จนกระทั่งได้มะนาวลูกผสมพันธุ์ดังกล่าว ซึ่งมีการเจริญเติบโตดี
มีทรงต้นโปร่ง ไม่แน่นทึบ หนามมีขนาด 1.5-3 ซม. และมีจุดเด่นที่สามารถต้านทาน โรคแคงเกอร์ สูง ทั้งที่ใบกิ่งและผล โดยที่ใบและผลพบจุดแผลของโรคน้อยกว่า 8% และที่กิ่งมีความต้านทานโรคสูงมาก พบอาการของโรคน้อยกว่า 1%
จะให้ผลผลิตประมาณ 1,500-2,000 กก./ไร่ เมื่ออายุ 5 ปี จะได้ผลผลิตสูง 400-1,000 ผล/ต้น/รุ่น ผลมีลักษณะทรงแป้น ก้นผลเรียบ สีผลเขียวเข้มเป็นมัน
มีกลิ่นหอม น้ำหนักผล 70-100 กรัม เปลือกบาง 0.15 ซม. ให้ปริมาณน้ำคั้น 34% ปริมาตร/น้ำหนัก ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ (TSS) 7.5 บริกซ์ มีปริมาณกรดซิตริก 8.8% ปริมาณวิตามินซี 40.5 มก./100 ซีซี
“มะนาวแป้นพิจิตร 1″ ได้ทดลองปลูกจนติดผลแล้ว ปรากฏว่ามีข้อเด่นคือติดผลดกมาก และ ที่สำคัญเป็นมะนาวที่มีความทนทานต่อการถูก “โรคแคงเกอร์” ลงเกาะกินผลได้ดีกว่ามะนาวสายพันธุ์ทั่วไป ผลมีขนาดใหญ่ เปลือกผลค่อนข้างบาง ให้น้ำเยอะ มีรสเปรี้ยวจัด
นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของเกษตรกรทั่ว ๆ ไป ผู้เขียนได้รวบรวมสายพันธุ์ที่ตนเองนิยม และหวังว่าท่านผู้อ่านก็คงชื่นชอบแตกต่างกันออกไป เพียงแต่ว่าตลาดค้ามะนาวจะนิยมสายพันธุ์ไหน ก็จะทำให้เกษตรกรหันมานิยมปลูกมะนาวในสายพันธุ์ที่ตลาดต้องการนั่นเอง
ขอขอบพระคุณภาพจากเวปไซต์และเจ้าของภาพทุกท่าน
วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
การทำวัสดุปลูกสไตล์สวนซับสมบูรณ์
ตามความประสงค์ของทางสวนซับสมบูรณ์ที่จะปลูกมะนาวโดยไม่ใช้ดินเนื่องจากเห็นว่ามะนาวเป็นพืชที่รากหาอาหารอยู่ใกล้พื้นดินในระดับตื้น ๆ และดินที่สวนได้ใช้ในการปลูกพืชมาเป็นเวลานาน ก็เลยคิดว่าพื้นดินคงจะมีแร่ธาตุสำหรับพืชน้อย และพื้นดินมักแข็งเป็นดาน ยากที่รากของมะนาวจะชอนไชไปหาอาหารได้สะดวก อันจะเป็นสาเหตุให้มะนาวไม่สมบูรณ์ ทำให้มีภูมิต้านทานโรคพืชต่ำ อันจะนำโรคต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น แคงเกอร์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โรครากเน่าที่เกิดจากเชื้อรา และโรคอื่น ๆ เช่น โรคยางไหล โรคใบแก้ว โรคทริสเตซ่า และโรคราดำ เป็นต้น
การป้องกันเบื้องต้นโดยการควบคุมโรคเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรค เพราะถ้าเป็นแล้วล้วนยากต่อการรักษา ทำให้ต้นทุนการผลิตเพื่มขึ้น การป้องกันกันโรคแคงเกอร์ที่ดีคือการปลูกพันธุ์มะนาวที่ทนต่อโรค เช่นพันธุ์พิจิตร 1 พันธุ์ตาฮิติ เป็นต้น ส่วนโรครากเน่าก็ป้องกันโดยไม่ปลูกมะนาวลึกเกินไป ไม่นำปุ๋ยคอกที่เก็บใหม่ ๆ หรือยังไม่มีการย่อยสลายมาใช้
ทางสวนซับสมบูรณ์จึงคิดสูตรดินที่เป็นของตนเองเพื่อนำมาปลูกมะนาว โดยความรู้พื้นฐานได้มาจากการศึกษาสูตรดินของสวนต่าง ๆ แล้วนำมาประยุกต์ใช้เพื่อให้เหมาะกับท้องถิ่นของสวน โดมีส่วนผสมที่สำคัญ ดังนี้
1. แกลบดิบ เป็นแกลบดิบที่ได้มาจากการซื้อที่โรงสีข้าว ถ้าเป็นแกลบดิบค้างปีจะดีที่สุด
2. แกลบดำ ได้จากการเผาแกบดิบโดยควบคุมการเผาใหม้ให้เหมาะสม
3. ขุยมะพร้าว ได้จากร้านที่จำหน่ายมะพร้าว หรือหาซื้อได้ที่ร้านขายต้นไม้ทั่วไป
4. มูลสัตว์ ทางสวนใช้มูลวัวนมเพราะจะมีแร่ธาตุต่าง ๆ มากกว่ามูลวัวทั่วไปที่มีเม็ดหญ้าเป็นจำนวนมาก
5. ดินพร้อมปลูก ทางสวนใช้ดินตรา มทส. ที่ผลิตโดยมหาวิทาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา
6. โดโรไมต์ เป็นสารปรับสภาพดินให้มีความเป็นกรด/ด่าง ปานกลาง
7. น้ำหมักชีวภาพ เป็นตัวทำให้เกิดการย่อยสลายของวัสดุต่าง ๆ ข้างต้น
ใช้แกลบดิบ แกลบดำ ขุยมะพร้าว มูลสัตว์ และดินพร้อมปลูก อย่างละ 1 ส่วน ส่วนโดโรไมต์ใช้ต้นละประมาณ 1 กำมือ น้ำหมักชีวภาพ 50 ซีซี /น้ำ 20 ลิตร
วิธการทำ
หลักจากกองวัสดุปลูกข้างต้นแล้วให้ใช้จอบหรือพลั้วคลุกเคล้าวัสดุปลูกให้เข้ากัน สมมุติว่าเราผสมดินปลูก 1 ต้น ก็ให้ใส่โดโรไมต์ 1 กำมือ ขณะคลุกเคล้าให้ใช้น้ำหมักชีวภาพที่เตรียมไว้ราดบนกอง
วัสดุปลูกเพื่อให้วัสดุปลูกมีความชื้นพอควร และระวังอย่างให้แห้งหรือน้อยเกินไปเพราะเชื้อจุลินทรีย์จะตาย ทำให้วัสดุปลูกไม่มีคุณภาพ เมื่อคลุกเคล้าเข้ากันดีแล้ว ให้หมักวัสดุปลูกไว้ในที่ร่มอย่างน้อย 15 วัน จึงจะสามารถนำมาใช้ได้
แกลบดิบ แกลบดำ ขุยมะพร้าว มูลสัตว์ ใบไม้แห้ง
1. แกลบดิบ เป็นแกลบดิบที่ได้มาจากการซื้อที่โรงสีข้าว ถ้าเป็นแกลบดิบค้างปีจะดีที่สุด
2. แกลบดำ ได้จากการเผาแกบดิบโดยควบคุมการเผาใหม้ให้เหมาะสม
3. ขุยมะพร้าว ได้จากร้านที่จำหน่ายมะพร้าว หรือหาซื้อได้ที่ร้านขายต้นไม้ทั่วไป
จะเห็นมีใบไม้แห้งผสมอยู่ด้วย
5. ดินพร้อมปลูก ทางสวนใช้ดินตรา มทส. ที่ผลิตโดยมหาวิทาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จ.นครราชสีมา
6. โดโรไมต์ เป็นสารปรับสภาพดินให้มีความเป็นกรด/ด่าง ปานกลาง
7. น้ำหมักชีวภาพ เป็นตัวทำให้เกิดการย่อยสลายของวัสดุต่าง ๆ ข้างต้น
คลุกเคล้าวัสดุปลูกให้เข้ากัน
อัตราส่วนผสมใช้แกลบดิบ แกลบดำ ขุยมะพร้าว มูลสัตว์ และดินพร้อมปลูก อย่างละ 1 ส่วน ส่วนโดโรไมต์ใช้ต้นละประมาณ 1 กำมือ น้ำหมักชีวภาพ 50 ซีซี /น้ำ 20 ลิตร
วิธการทำ
หลักจากกองวัสดุปลูกข้างต้นแล้วให้ใช้จอบหรือพลั้วคลุกเคล้าวัสดุปลูกให้เข้ากัน สมมุติว่าเราผสมดินปลูก 1 ต้น ก็ให้ใส่โดโรไมต์ 1 กำมือ ขณะคลุกเคล้าให้ใช้น้ำหมักชีวภาพที่เตรียมไว้ราดบนกอง
สีวัสดุปลูกตอนรดน้ำหมักชีวภาพ
กองวัสดุปลูกที่ผสมแล้วโดยคลุมด้วยกระสอบป่านอยู่ในที่ร่ม
การทำวัสดุปลูก้างต้นนี้เป็นสูตรทั่ว ๆ ไป แต่ละสวนสามารถพลิกแพลงได้ตามความเหมาะสมของแต่ละท้องถิ่น ไม่มีกฏตายตัว แต่วัสดุปลูกหลัก ๆ คงคล้าย ๆ กัน สุดแต่ว่าแต่ละสวนจะเชื่อและใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อให้วัสดุปลูกใช้ได้ และเกิดประโยชน์จริง ๆ
วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
มะนาวสรรพคุณสมุนไพรไทย
กลุ่มยาขับเสมหะ แก้ไอ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus aurantifolia (Christm.) Swingle
ชื่อสามัญ : Common lime
วงศ์ : Rutaceae
ชื่ออื่น : ส้มมะนาว มะลิว (ภาคเหนือ)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 2-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามแหลม เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลปนเทา ใบ เป็นใบประกอบ ออกเรียงสลับ มีใบย่อยใบเดียว รูปไข่หรือรูปรียาว กว้าง 3-5 ซม. ยาว4-8 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมนมีปีกแคบๆ ขอบใบหยัก แผ่นใบมีต่อมน้ำมันกระจายอยู่ตามผิวใบ ดอก ออกเป็นช่อสั้น 5-7 ดอก หรือออกดอกเดี่ยวตามซอกใบ ที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว กลีบดอกมี 4-5 กลีบ หลุดร่วงง่าย ผล รูปทรงกลม ผิวเรียบเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียวเข้ม พอแก่เป็นสีเหลือง ข้างในแบ่งเป็นห้องแบบรัศมี มีรสเปรี้ยว เมล็ดกลมรี สีขาว มี 10-15 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ : น้ำมะนาว (น้ำคั้นจากผล) ราก ใบ ดอก ผล เมล็ด
สรรพคุณ :
• น้ำมะนาว - แก้โรคลักปิดลักเปิด (เลือดออกตามไรฟัน) ทำอาหาร ขับเสมหะ ฟอกโลหิต ทำให้ผิวนุ่มนวล แก้ซาง บำรุงเสียง บำรุงโลหิต ขับระดู แก้เล็บขบ แก้ขาลาย จิบแก้ไอ ดับกลิ่นเหล้า ฆ่าพยาธิในท้อง รักษาผม ขับลม รักษาลมพิษ แก้ริดสีดวง แก้ระดูขาว แก้พิษยางน่อง แก้ไข้ แก้ไข้กาฬ แก้ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ
• ราก - กระทุ้งพิษไข้ ถอนพิษสำแดง แก้สติหลงลืม แก้ไข้ แก้ไข้กาฬ แก้ฝี แก้ปวด แก้อักเสบ ถอนพิษไข้ กลับไข้ซ้ำ
• ใบ - ฟอกโลหิต แก้ตับทรุด
• ดอก - แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและปวดท้อง แก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน (เกิดจากธาตุไม่ปกติ ) แก้ไอ ขับเสมหะ
• ผล - แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและปวดท้อง ทาแก้ผิวแห้งตกสะเก็ด แก้สิวฝ้า แก้ส้นเท้าแตก แก้ไอ รักษาแผลจากแมลงมีพิษ
• เมล็ด - แก้พิษตานซาง แก้หายใจขัด แก้ไข้ขับเสมหะ แก้พิษฝีภายใน
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
1. ยาแก้ไอขับเสมหะ
น้ำในผลที่โตเต็มที่ น้ำมะนาว 2-3 ช้อนแกง, เมล็ดมะนาว 10-20 เมล็ด นำน้ำมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย จิบ จะช่วยทำให้เสมหะถูกขับออก และเสียงดี ถ้าเป็นเมล็ดมะนาวนำไปคั่วให้เหลือง บดให้ละเอียด เติมพิมเสน 2-5 เกล็ด ชงน้ำร้อนรับประทาน เป็นยาขับเสมหะ
2. ยาป้องกันหรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด)
ใช้น้ำจากผลที่แก่จัดไม่จำกัด เติมเกลือ น้ำตาล น้ำแข็ง ใช้เป็นเครื่องดื่ม หรือจะใส่ในอาหาร ก็ได้ผลเช่นกัน
3. ยาห้ามเลือด ใส่แผลสด
ใช้น้ำจากผล ครึ่งช้อนชา หรือ 1/4 ช้อนแกง แผลถูกมีดบาด เลือดไม่หยุด บีบน้ำมะนาวลงไป 3-4 หยด เลือดจะหยุด
สารเคมี :
ใบ มี Alcohols, Aldehydes, Elements, Terpenoids, Citral
ผล มี 1 - Alanine, γ - Amino butyric acid, 1 - Glutamic acid
เมล็ด มี Glyceride Oil
น้ำมันหอมระเหย มี P - Dimethyl - a - Styrene, Terpinolene
กลุ่มยากัน หรือ แก้เลือดออกตามไรฟัน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Citrus aurantifolia (Christm.) Swingle
ชื่อสามัญ : Common lime
วงศ์ : Rutaceae
ชื่ออื่น : ส้มมะนาว มะลิว (ภาคเหนือ)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 2-4 เมตร กิ่งอ่อนมีหนามแหลม เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลปนเทา ใบ เป็นใบประกอบ ออกเรียงสลับ มีใบย่อยใบเดียว รูปไข่หรือรูปรียาว กว้าง 3-5 ซม. ยาว4-8 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมนมีปีกแคบๆ ขอบใบหยัก แผ่นใบมีต่อมน้ำมันกระจายอยู่ตามผิวใบ ดอก ออกเป็นช่อสั้น 5-7 ดอก หรือออกดอกเดี่ยวตามซอกใบ ที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว กลีบดอกมี 4-5 กลีบ หลุดร่วงง่าย ผล รูปทรงกลม ผิวเรียบเกลี้ยง ผลอ่อนสีเขียวเข้ม พอแก่เป็นสีเหลือง ข้างในแบ่งเป็นห้องแบบรัศมี มีรสเปรี้ยว เมล็ดกลมรี สีขาว มี 10-15 เมล็ด
ส่วนที่ใช้ : น้ำมันจากผิวของผลสด น้ำคั้นจากผลมะนาว
สรรพคุณ :
น้ำมันจากผิวมะนาว ใช้เป็นยาขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ แน่นจุกเสียด แต่งกลิ่น น้ำคั้นจากผลมะนาว รักษาอาการเจ็บคอ แก้ไอ ขับเสมหะ และรักษาโรคลักปิดลักเปิดซึ่งเกิดจากการขาดวิตามินซี
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
1. ใช้ผิวมะนาวแห้ง 10-15 กรัม ต้มน้ำรับประทาน
2. ใช้น้ำมะนาว 1 ถ้วยชา ผสมน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือเล็กน้อย ชงน้ำอุ่น จิบบ่อยๆ
สารเคมี : ผิวมะนาวมี น้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วย d-limonene, linalool, terpineol และflavonoids
มะนาวโซดาลดความอ้วน ความพิเศษของสมุนไพรใกล้ตัว ที่จะมาไขข้อข้องใจเรื่องการลดน้ำหนักให้สาว ๆ ได้ทราบกัน
มะนาวโซดา
วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบมาฝากคุณสาว ๆ ให้ได้ถึงบางอ้อว่าการที่น้ำหนักของคุณไม่ลดนั้น เป็นเพราะการทำงานของระบบย่อยอาหารของคุณมีปัญหา ทำให้ประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารของลำไส้ลดลง แต่สิ่งที่จะช่วยลดปัญหานี้ได้คือ มะนาว สมุนไพรใกล้ตัว ที่หาได้ง่าย ๆ ในบ้านของเรานี่เองจ้า เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาเรามาดูกันดีกว่าว่ามะนาวมีความพิเศษอะไรที่จะมาช่วยแก้ปัญหาคาใจของสาว ๆ ได้
จากผลการวิจัยพบว่า หากระบบย่อยอาหารของคนเราทำงานผิดปกติ ต่อให้เราหักโหมออกลดน้ำหนักแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ค่ะ เพราะลำไส้ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นในการเผาผลาญไขมันได้ ทำให้ไขมันเหล่านั้นกลายเป็นสารพิษตกค้างในร่างกาย และจะกลายเป็นปัญหาไขมันสะสม ในที่สุด แต่ มะนาว จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารของคุณค่อย ๆ ปรับสภาพให้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยสกัดสารพิษได้เป็นอย่างดีด้วย เพราะในมะนาวอุดมไปด้วยกรดไซตริก 7-8 % เรียกได้ว่าสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทุก ๆ ประเภท และหากนำน้ำมะนาวมาผสมรวมกับกรดอื่น ๆ ที่ไม่มีน้ำตาล ก็จะยิ่งช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยในกระเพาะทำงานได้ดียิ่งขึ้น
และหากคุณอยากจะแก้ไขปัญหาระบบการทำงานของลำไส้ให้ดีขึ้นอย่างที่กล่าวมาข้างต้น วันนี้เราจึงขอแนะนำเมนูสุดยอดตัวช่วยลดน้ำหนักให้คุณได้ไปลองทำดู อย่าง "น้ำมะนาวโซดา" ซึ่งมีวิธีทำที่ง่ายมาก ๆ เพียงแค่สาว ๆ บีบน้ำมะนาว 1 ลูก ผสมกับโซดา 1 ขวด ซึ่งมีฤทธ์เป็นกรด แล้วดื่มทุกเช้า จะช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที วิธีนี้เรียกว่า "การดีท็อกซ์ลำไส้" นั่นเองค่ะ เป็นวิธีที่จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราทำงานอย่างเป็นปกติ ร่างกายจะสามารถเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งน้ำมะนาวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมให้กักเก็บเอาไว้ในเซลล์ไขมันได้ในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อช่วยเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น ทำให้น้ำหนักของคุณสาว ๆ ลดลงได้อย่างที่ต้องการ และไม่ต้องหนักใจกับปัญหาเดิม ๆ อีกต่อไปค่ะ
ทราบอย่างนี้แล้ว สาว ๆ คนไหนที่มีปัญหาในการลดน้ำหนักอยู่ ก็อย่ารอช้านะคะ รีบจัดแจงหาน้ำมะนาวโซดามาดื่มกันด่วนเลยค่ะ และการลดน้ำหนักที่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สาว ๆ ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อีกทั้งต้องออกกำลังกายเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อของสาว ๆ กระชับได้สัดส่วนด้วยนะคะ ^^
ขอบคุณ : ข้อมูลและภาพจากกระปุกดอทคอม
สรรพคุณของมะนาวด้านอื่น ๆ
1. ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ
2. ช่วยแก้อาเจียน เป็นลมวิงเวียนศีรษะ เมาเหล้าได้
3. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงและต่ำ
4. รู้หรือไม่ว่ามะนาวก็เป็นยาอายุวัฒนะ และช่วยในการเจริญอาหารได้ด้วย
5. แก้อาการวิงเวียนหลังคลอดบุตร
6. แก้อาการลมเงียบ ด้วยการเอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอม
7. แก้โรคตาแดง
8. ใช้เป็นยาแก้ไข้ก็ได้เหมือกัน ด้วยการนำใบมาหั่นเป็นฝอยๆ แล้วนำมาชงในน้ำเดือด ดื่มเป็นน้ำชา หรือใช้อมกลั้วคอเพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค
9. ใช้ในการแก้ไข้ทับระดู ด้วยการเอาใบมะนาวประมาณ 100 ใบมาต้มกิน
10. สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือเลือดออกตามไรฟันได้ เพราะในมะนาวมีวิตามินซีสูงมาก
11. มะนาวช่วยในการขับเสมหะ
12. ช่วยแก้ไอ หรืออาการไอที่มีเลือดปนออกมา ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการลงได้ดีในระดับหนึ่ง
13. ช่วยบรรเทาอาการต่อมทอนซิลอักเสบ
14. ช่วยบรรเทาอาการเสียบแหบแห้ง
15. ช่วยลดอาการเหงือกบวม
16. ใช้เป็นยาบ้วนปาก ด้วยการใช้น้ำมะนาว 3-4 หยด ก็จะทำให้ช่องปากสะอาดมากยิ่งขึ้น
17. ช่วยแก้ลิ้นเป็นฝ้า ด้วยการใช้สำลีชุบน้ำมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 2-3 ครั้ง
18. ช่วยในการขจัดคราบบุหรี่
19. แก้เล็บขบ ด้วยการนำมะนาวมาผ่าส่วนหัวแล้วคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย แล้วใช้ปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป
20. ก้างติดคอ ให้นำน้ํามะนาว 1 ลูกมาคั้นแล้เติมเกลือ ใส่น้ำตาลเล็กน้อยแล้วกรอกลงไปให้ตรงกับ บริเวณที่ก้างติดคอ อมไว้สักครู่แล้วค่อยๆกลืน ก้างปลาจะอ่อน ตัวลงแล้วหลุดลงไปในกระเพาะ
21. ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง แน่นท้อง ด้วยการนำน้ำมะนาวมาใช้กินกับน้ำตาล
23. ช่วยการขับพยาธิไส้เดือน ด้วยการดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว
24. ช่วยรักษาอาการท้องผูก ด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือเล็กน้อย ก็เป็นยาระบายชั้นดี
25. ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ด้วยการนำเปลือกมะนาวมาชงกับน้ำอุ่น และดื่มเป็นยา
26. แก้อาการบิด ด้วยการใช้มะนาวกับน้ำผึ้งอย่างละเท่าๆกัน แล้วนำมาดื่ม
27. แก้อาการปัสสาวะกระปริบกระปอย ด้วยการใช้ใบนะนาวสดต้มกับน้ำตาลแดง แล้วน้ำมาดื่ม
28. สรรพคุณของมะนาวก็ช่วยรักษาโรคนิ่วได้เหมือนกัน
29. แก้อาการระดูขาว ด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมเกลือกับน้ำตาลนิดหน่อย
30. แก้ผิดสำแลง นำรากมะนาวมาฝนกับน้ำซาวข้าวแล้วนำมารับประทาน
31. ช่วยฟอกโลหิต ด้วยการนำใบมะนาวต้มผสมกับน้ำแล้วนำมาดื่มเป็นประจำ
32. ช่วยบำรุงโลหิต รักษาโรคโลหิตจาง ด้วยการนำน้ำมะนาวผสมกับน้ำหวานและปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็งนำมาดื่ม
33. แก้โรคเหน็บชา ร้อนในกระหายน้ำด้วยการดื่มน้ำมะนาว
34. ช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลียด้วยการดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำตาล
35. การดื่มน้ำมะนาวจะช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้อีกด้วย
36. รักษาโรคผิวหนัง ด้วยการนำน้ำมะนาวมาทาบริเวณที่เป็น
37. บรรเทาอาการคันบริเวณผิวหนัง
38. แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วนำมาทาบริเวณดังกล่าว เป็นประจำก่อนเข้านอนแล้วหลังตื่นนอน
39. แก้ปัญหา กาก เกลื้อน หิด ด้วยการนำกำมะถันมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำมะนาว แล้วนำมาทาบริเวณดังกล่าวหลังอาบน้ำ
40. แก้หูด ด้วยการใช้เปลือกมะนาวนำมาหมักกับน้ำส้มสายชูประมาณ 2 วันแล้วนำเปลือกมาปิดทับบริเวณที่เป็นหูด
41. แก้ฝีและอาการปวดฝี โดยใช้รากมะนาวสดมาฝนกับเหล้าและนำมาทา ขูดเอาผิวมะนาวผสมกับปูนแดงปิดไว้
42. แก้ฝีมะตอย ด้วยการนำมะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ด้านในออกให้พอเอานิ้วแหย่เข้าไปได้ แล้วนำมาปูนกินหมากทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมนิ้วเข้า ไป
43. รักษาโรคน้ำกัดเท้า หรือปูนซีเมนต์กัดเท้าด้วยการใช้น้ำมะนาวทาบริเวณดังกล่าว ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออก
44. แก้ผิวหนังฟกช้ำ หัวโน อาการปวดบวม ปูดแดง ด้วยนำน้ำมะนาวกับดินสอพองมาผสมให้เข้ากัน แล้วทาบริเวณดังกล่าววันละ 1-2 ครั้ง
น้ำขิงมะนาวโซดา
46. แก้แผลบาดทะยัก ด้วยการใช้น้ำมะนาวมาทาบริเวณที่เกิดบาดแผล
47. ช่วยลดเลือนรอยแผลเป็น ด้วยการใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองให้เข้ากัน แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นรอยแผล
48. ช่วยบรรเทาอาการคันหนังศีรษะ ด้วยการใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วแล้วค่อยสระผม
49. น้ำมะนาวช่วยดับกลิ่นเต่าหรือกลิ่นกายได้เหมือนกัน โดยนำน้ำมะนาวมาทาบริเวณรักแร้
50. แก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย และช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด
51. แก้พิษจากการโดนงูกัด
52. ป้องกันภัยจากงู ด้วยการใช้เปลือกวางไว้บริเวณใกล้ที่นอนๆ งูจะไม่มารบกวนเพราะได้กลิ่นมะนาว
53. แก้แมงคาเรืองเข้าหู ด้วยการใช้น้ำมะนาวหยอดหู
54. หุงข้าวให้ขาวและอร่อยขึ้น ด้วยการนำน้ำมะนาวประมาณ 2-3 ช้อนแล้วนำไปซาวข้าว
55. ทอดไขให้ฟูและนิ่ม มะนาว 4-5 หยดจะช่วยได้
56. มะนาวช่วยลดกลิ่นคาวจากปลาเมื่อทำอาหาร และทำให้ปลาคงรูปไม่เละ
57. สำหรับแม่ครัวที่หั่นหรือเด็ดผักเป็นประจำ จะทำให้เล็บมือเป็นสีดำ นำมะนาวมาถูจะช่วยปัญหาดังกล่าวได้
58. หากใช้มีดผ่าปลีกกล้วย มีดจะมีสีม่วงคล่ำ ล้างออกลำบาก นำมานาวที่ผ่าแล้วมาถูกตามใบมีดจะช่วยมีดของคุณสะอาดดังเดิม
59. การเชื่อมกล้วยหักมุมให้น่ารับประทาน เมื่อน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูมแล้ว ให้บีบมะนาวครึ่งซึกลงไป จะช่วยให้กล้วยใสน่าทานมากยิ่งขึ้น
60. มะนาว 2-3 ลูกใส่ไว้ในถังข้าวสารช่วยป้องกันมอดได้
61. เปลือกมะนาวสามารถนำมาเช็ดภาชนะให้เงางามขึ้นได้ เช่น เครื่องเงิน ทองเหลือง ทองแดง เป็นต้น
จะเห็นได้ว่ามะนาวลูกเล็ก ๆ สามารถทำให้เราหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามาก จึงเป็นพืชสมุนไพรที่ทุกครัวเรือนจะต้องใช้เพื่อความสุองการมีสุขภาพที่ดีของเรา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)